Tuesday, January 23, 2024

วัดเทิงเสาหิน ปริศนาเสาศิลาอาราม

 

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ เรื่องและภาพ

ตีพิพม์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ธันวาคม ๒๕๖๖

เสาหินเรียงรายบนวิหาร

เสาหินสีเทาเรียงรายนั้นโดดเด่นจนเห็นได้แต่ไกล  จึงไม่น่าแปลกใจที่ถูกใช้เป็นชื่อเรียกขานอารามโบราณแห่งนี้ว่า วัดเทิงเสาหิน ในปัจจุบัน  

ชื่อเดิมในอดีตสมัยที่ยังเป็นซากวัดร้างจมอยู่กลางป่านั้น ชาวบ้านเคยเรียกกันว่า “วัดดงแหน” เนื่องจากในบริเวณโบราณสถานถูกล้อมรอบด้วยป่าต้นแหนหรือต้นสมอพิเภก ก่อนที่หลวงปู่เพ็ง พุทธธัมโม (พระครูสิริหรรษาภิบาล อดีตเจ้าอาวาส) ธุดงค์ผ่านมาพบเข้า เกิดศรัทธาก่อตั้งเป็นวัดขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ หลังจากนั้นกรมศิลปากรจึงได้มาสำรวจและทำการบูรณะขุดแต่งโบราณสถานวัดเทิงเสาหิน แล้วขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดขอบเขตเนื้อที่ประมาณ ๔,๘๐๐ ตารางเมตร

เจดีย์ประธานของวัดสถาปัตย์แบบล้านนา 

            ร่องรอยที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันคือเจดีย์ประธานของวัดที่หลงเหลือเพียงชุดชั้นฐานเขียงและชั้นฐานบัวย่อเก็จบางส่วนที่อยู่ถัดขึ้นไป ตั้งอยู่บนฐานไพทีเดียวกันกับวิหาร ในบริเวณวิหารมีฐานชุกชีขนาดใหญ่กับชิ้นส่วนของเศียรพระปูนปั้นตั้งอยู่ด้านบนตรงกึ่งกลาง

ทั้งฐานไพที วิหาร และเจดีย์ล้วนแล้วแต่ก่อด้วยอิฐทั้งสิ้น มีเพียงเสาวิหารอย่างเดียวที่ใช้วัสดุแตกต่างออกไป นั่นคือ “หิน”  

เสาหินแปดเหลี่ยมเรียงรายมุมหนึ่งของวิหาร


       เสาของวิหารเป็นแท่งหินทรายสกัดเป็นแปดเหลี่ยม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๗๕ เซนติเมตร  ความยาวต้นละ ๓.๕ เมตร แต่ละเสาประกอบด้วยชิ้นส่วนหิน ๔ ชิ้น ชิ้นส่วนล่างสุดคือส่วนฐานของเสา สกัดเป็นแป้นกลม เจาะรูตรงกลางเหมือนกับโดนัท สำหรับรองรับเดือยของตัวเสา ส่วนที่เป็นตัวเสา ลักษณะเป็นแท่งยาวปลายด้านหนึ่งเจาะเป็นรู  ส่วนปลายอีกด้านสกัดเป็นเดือย นำมาต่อเข้าด้วยกัน ในขณะชิ้นส่วนบนสุดที่เป็นยอดเสาเจาะเป็นช่องด้านข้างไว้สำหรับสอดคานไม้รองรับหลังคาวิหาร  

            เสาหินที่เห็นตั้งอยู่เรียงรายในปัจจุบันนี้มาจากทางกรมศิลปากรได้มาทำการขุดแต่งบูรณะ นำชิ้นส่วนเสาซึ่งล้มกระจัดกระจายมาต่อติดตั้งขึ้นใหม่เท่าที่ทำได้ ส่วนที่ต่อไม่ได้บางส่วนก็นำไปกองไว้ตรงมุมหนึ่งของฐานวิหาร บางส่วนก็ยังคงทิ้งไว้ในตำแหน่งเดิมที่พบ

เสาหินที่โผล่ออกมาจากฐานชุกชี

            นอกเหนือไปจากเรื่องการใช้หินเป็นวัสดุทำเสาของวิหารซึ่งถือว่า“แปลกประหลาด” แตกต่างจากวิหารอื่น ๆ ทั่วไป ปริศนาน่าสนใจอีกประการก็คือร่องรอยของเสาหินบางส่วนที่อยู่ในลักษณะ “ผิดปกติ” ครับ

            เห็นได้ชัดคือตรงฐานชุกชีทางฝั่งทิศเหนือ ปรากฏแป้นหินที่เป็นฐานของเสาและเสาหินสี่เหลี่ยมโผล่ออกมาในลักษณะเอียงกะเท่เร่ ลักษณะเหมือนกับเสาได้ล้มลง แล้วไม่สามารถยกขึ้นได้ ต้องก่ออิฐทับทำเป็นฐานชุกชีประดิษฐานพระประธานเป็นแนวยาวมาติดผนังไปเลย เล็งดูแล้วตัวเสาส่วนที่โผล่ออกมาอยู่ในแนวเดียวกับผนังวิหารพอดี แสดงว่าก่ออิฐซ่อนเสาไว้ในผนัง เมื่อผนังอิฐของวิหารพังทลายลง เสาที่ถูกซ่อนไว้ถึงได้โผล่ออกมาอย่างที่เห็น

องค์พระพุทธรูปปูนปั้นคว่ำอยู่ในซุ้มหลังวิหาร

            แล้วก็ยังมีทางด้านหลังของวิหารที่ได้มีการก่ออิฐทับบนเสาหินสี่เหลี่ยมให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของฐานมณฑปหรือซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ ซึ่งถูกขุดทะลวงหาสมบัติจนล้มคว่ำหน้าลงมาแตกหักเห็นเป็นซากอยู่ ดูจากขนาดองค์พระแล้วเศียรพระพุทธรูปที่ตั้งบนฐานชุกชีในวิหารก็น่าจะเป็นขององค์นี้แหละครับ เป็นไปได้ว่าพระประธานองค์จริงอาจจะเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะ แล้วถูกอัญเชิญไปที่วัดอื่นหรืออัญเชิญลงมากรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ตามเรื่องราวพงศาวดารว่าได้อัญเชิญพระพุทธรูปโลหะจากวัดร้างต่าง ๆ ในหัวเมืองทางเหนือลงไปเป็นพระประธานตามวัดในพระนครจำนวนมาก

เศียรพระพุทธรูปปูนปั้นบนฐานชุกชีในวิหาร

             ด้วยเหตุเรื่องราวของวัดเทิงเสาหินไม่ปรากฏบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ใด ๆ จึงได้มีการสันนิษฐานจากเสาหินที่ปรากฏว่าเป็นของที่สร้างขึ้นในสมัยขอม แต่หากพิจารณาจากรูปแบบสถาปัตยกรรม รวมทั้งการขุดคูน้ำล้อมรอบวัดในรูปแบบของ “เวียงพระธาตุ” แบบล้านนา ซึ่งเริ่มมีขึ้นในสมัยพญากือนาธรรมิกราชทรงสร้างวัดสวนดอกถวายให้พระสุมนเถระ อันได้อาราธนาจากนครสุโขทัยมาเผยแผ่พุทธศาสนาลังกาวงศ์ในเชียงใหม่  ประกอบกับพุทธศิลป์ของเศียรพระปูนปั้นบนฐานชุกชีในวิหาร ลักษณะศิลปกรรมแบบล้านนาอิทธิพลสุโขทัย วิหารวัดเทิงเสาหินจึงน่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ คือในสมัยล้านนา

ช่วงเวลาดังกล่าวเวียงเทิงก็เป็นเวียงที่อยู่ในเครือข่ายของเมืองพะเยา กำลังนิยมสร้างพระพุทธรูปด้วยหินทรายในรูปแบบเฉพาะตัว เรียกว่า “สกุลช่างพะเยา” อยู่พอดี จึงเป็นไปได้อย่างมากที่จะมีการพยายามสร้างวิหารด้วยหินทรายขึ้นมาด้วย นอกเหนือจากการสร้างพระพุทธรูปที่โดดเด่นจนเป็นเอกลักษณ์


แป้นหินที่รองรับเสาหินบนฐานวิหาร

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ยังคงต้องรอการค้นคว้าศึกษาจากนักโบราณคดี ให้มาช่วยไขปริศนาว่าด้วย “เสาศิลา” ของวัดเทิงเสาหินอย่างเป็นวิชาการและเป็นทางการอีกทีนึง

แต่ที่จริงแท้แน่นอน รับรองได้ในตอนนี้เลยก็คือ แวะมาเที่ยวชมแล้วไม่เสียเที่ยวแน่นอนครับ

เทียบขนาดเสาหินกับตัวคน (สุรพล สุภาวัฒนกุล ภาพ) 

Tuesday, September 26, 2023

มหาธาตุแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร

 

พระมณฑป สถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอันเป็นประธานของวัด

 ภาคภูมิ น้อยวัฒน์. เรื่อง สุรพล สุภาวัฒนกุล ภาพ

                ตามธรรมเนียมแต่โบราณของไทย นครน้อยใหญ่ไม่ว่าแห่งใด ต่างก็ต้องมีวัดมหาธาตุอันประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุประจำเมือง เพื่อเป็นศิริมงคลและศรีสง่าแก่บ้านเมือง

     วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร คือมหาธาตุแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมนามว่า “วัดสลัก” เป็นวัดเก่าแก่มีมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จากหลักฐานแผ่นศิลาจารึกดวงชะตาที่บรรจุไว้บริเวณฐานพระประธาน ระบุว่าสถาปนาวัดขึ้นในปี พ.ศ.๒๒๒๘ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  นับถึงวันนี้มีอายุเก่าแก่ถึง  ๓๓๘  ปี 

     เมื่อแรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ วัดสลักเป็นวัดที่คั่นอยู่กึ่งกลางระหว่างพระบรมมหาราชวัง (วังหลวง) อันเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ กับพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)  ที่ประทับของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในปีพ.ศ. ๒๓๒๖ สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดสลัก สร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่แล้ว ทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้นโดยได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชว่า “วัดนิพพานาราม” มีฐานะเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์

หน้าบันพระวิหาร ประดับด้วยตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ 
         

         ในปี พ.ศ. ๒๓๓๑ ภายหลังจากวัดนิพพานารามได้ใช้เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามพระอารามใหม่เป็น “วัดพระศรีสรรเพชญ์”  ก่อนที่ในปี พ.ศ.๒๓๔๖ จะโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามพระอารามอีกครั้งว่า “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชวรมหาวิหาร” หรือ “วัดมหาธาตุ” เนื่องจากวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ ณ ภายในพระมณฑป และเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งเพื่อให้เป็นหลักของพระนครในกรุงรัตนโกสินทร์เช่นเดียวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยา

                ตลอดระยะเวลาอันยาวนานมีการปรับปรุงซ่อมแซมวัดมหาธาตุมาเป็นลำดับ ครั้งใหญ่ ๆ คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พ.ศ.๒๓๘๗ ทรงบูรณะวัดมหาธาตุด้วยการก่ออิฐถือปูนเสนาสนะใหม่ทั้งพระอาราม และในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สิ้นพระชนม์ได้ ๒ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระราชทรัพย์อันเป็นส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในการปฎิสังขรณ์ปูชนียสถานสำคัญของวัดมหาธาตุ ได้แก่ พระมณฑป  พระอุโบสถ  และพระวิหาร โดยเฉพาะหน้าบันพระวิหาร โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนลายประดับเป็นรูปจุลมงกุฎของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ  แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มสร้อยนามพระอาราม เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ว่า “วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์”

   

เจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เด่นสง่าภายในบุษบกภายในพระมณฑป 

                 ปูชนียวัตถุสำคัญและมีความงดงามไม่ควรพลาดชมภายในวัดแห่งนี้ คือ พระมณฑป ที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างเป็นประธานของวัดแต่แรก ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ระหว่างพระอุโบสถกับพระวิหาร โดยทรงพระราชทานเครื่องไม้สำหรับสร้างปราสาทในวังหน้ามาใช้สร้างพระมณฑป แต่ต่อมาไม่นานเกิดอุบัติเหตุถูกเพลิงไหม้ไปพร้อมกับพระอุโบสถและพระวิหาร  จึงทรงให้สร้างใหม่และปรับเปลี่ยนจากยอดมณฑปเป็นหลังคาทรงโรงอย่างในปัจจุบัน แต่ยังคงเรียก “พระมณฑป”ตามเดิม

                ภายในพระมณฑปมีบุษบกประดิษฐานพระเจดีย์ทองซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นประธาน รายรอบด้วยพระพุทธปฏิมาพุทธลักษณะงดงามถึง  ๒๘  องค์ ที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงอัญเชิญมาจากวัดร้างตามเมืองเก่าทางภาคเหนือได้แก่ เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิษณุโลก เมืองลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา นำมาประดิษฐานไว้ภายในพระมณฑป

พระศรีสรรเพชญ์พระประธานภายในพระอุโบสถ


บสีมารูปครุฑยุดนาคติดตั้งไว้บนผนังพระอุโบสถ ไม่เหมือนที่อื่น

                พระอุโบสถ เป็นอีกแห่งที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสร้าง เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ เนื่องจากหลังถูกเพลิงไหม้พระองค์ทรงให้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ขยายพระอุโบสถออกจนแทบชิดกับพระมณฑป ถึงแนวเขตสีมา จึงต้องยกใบสีมาขึ้นติดบนผนัง พร้อมทั้งทำประตูให้เปิดออกด้านข้าง  สิ่งน่าชมของพระอุโบสถคือพระประธานปางมารวิชัย “พระศรีสรรเพชญ์”  รายล้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งแปดทิศ  หน้าบันไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจกภาพนารายณ์ทรงครุฑยุดนาค แวดล้อมด้วยเทวดาเหาะด้านละสามองค์ กับลายเทพพนมอยู่เหนือขึ้นไป พื้นเป็นลายใบเทศก้านต่อดอก และใบสีมาจำหลักภาพครุฑยุดนาค ที่ติดตั้งไว้บนผนังอุโบสถ แปลกไม่เหมือนที่อื่น 

ศิลาจารึกดวงชะตาการสร้างวัดบนฐานพระพุทธรุปประธานในวิหาร

พระวิหาร สิ่งน่าชมคือหน้าบันพระวิหารเป็นตราพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยอักษรย่อ ร.จ.บ.ต.ว.ห.จ.อันมีความหมายว่า เราจะบำรุงตระกูลวงศ์ให้เจริญ ที่จัดทำขึ้นในการบูรณะสมัยรัชกาลที่ ๕  ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปห้าองค์  มีพระศรีศากยมุนีเป็นพระประธาน สิ่งน่าสนใจคือศิลาจารึกดวงชะตาการสร้างวัด เดิมติดอยู่ที่แท่นพระประธานเดิมเมื่อยังเป็นวัดสลัก 

พระปรางค์บรรจุอัฐืของอดีตพระสังฆราช

                พระเจดีย์และพระปรางค์ บริเวณพระระเบียงทางด้านเหนือพระวิหารและด้านใต้ของพระอุโบสถ  เป็นที่ตั้งของเจดีย์ด้านละองค์ พระปรางค์ด้านละองค์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เดิมทั้งหมดหุ้มด้วยแผ่นดีบุก ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้นำแผ่นดีบุกออก ส่วนพระปรางค์องค์ใหญ่ด้านหน้าพระมณฑปสององค์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๒ บรรจุอัฐิธาตุของสมเด็จพระสังฆราช (ศุข) และสมเด็จพระสังฆราช (มี)

     พระวิหารน้อยโพธิลังกา สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เคยเป็นตำหนักที่ประทับของพระองค์เมื่อครั้งทรงผนวช ตั้งอยู่ทางตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ สมเด็จพระวันรัต (เขมจารี) เมื่อครั้งยังเป็นพระพิมลธรรม ได้ปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งหลัง ที่ควรชมและสักการะคือ “พระนาก” พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงถวายให้ประดิษฐานเป็นพระประธานในวิหารน้อยนี้

พระบวรราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  

     พระบวรราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  ประติมากรรมขนาดเท่าครึ่ง ประทับยืนบนเกย พระหัตถ์ทั้งสองยกพระแสงดาบเป็นท่าจบเป็นพุทธบูชา หันพระพักตร์ออกสู่สนามหลวง สมาคมศิษย์เก่าวัดมหาธาตุสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ผู้ทรงสถาปนาวัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ด้านหน้าพระวิหารน้อยโพธิลังกา ภายในบรรจุเนื้อดินจากแว่นแคว้นที่พระองค์เสด็จกรีธาทัพเข้ายึดครองรวมทั้งสิ้น ๒๘ แห่ง ไว้ใต้ฐาน 

คู่มือนักเดินทาง

     วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมท้องสนามหลวง ถนนท่าพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๗.๓๐-๑๘.๐๐ นาฬิกา ไม่เสียค่าเข้าชม 


Thursday, April 29, 2021

ชมจิตรกรรมงามล้ำในอุโบสถขาว วัดสว่างอารมณ์ (วัดเฉวง เกาะสมุย)



ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ชวนแวะ เสาวนีย์ สมบูรณ์...ชวนชม 

 ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. เมษายน ๒๕๖๔

     “บริเวณนี้เรียกว่า “เฉวง” มีความหมายว่าสว่าง เป็นคำที่คนท้องถิ่นเรียกขานกันมาตั้งแต่เมื่อสมัยร้อยกว่าปีก่อน”

     พระครูวิสุทธิปัญญาคม (โอวาท ปัญญาโสภโน) รองเจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ รักษาการแทนเจ้าอาวาส บอกเล่าถึงความเป็นมาของพื้นที่ตั้งของวัดสว่างอารมณ์ หรือวัดเฉวง เกาะสมุยซึ่งในวันนี้แลดูสว่างไสวสมชื่อ ด้วยอุโบสถหลังใหม่สีขาวสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์เด่นตระหง่านสะดุดตาท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้โดยรอบ 

     “ที่ต้องเป็นสีขาวเนื่องจากเป็นความประสงค์ของท่านเจ้าอาวาส” ท่านหมายถึงพระครูประภาตธรรมคุณ (พระครูสงัด สุธรรมโม) เจ้าอาวาสวัดซึ่งเป็นผู้สร้างอุโบสถหลังใหม่นี้ขึ้น “ท่านได้ขอซื้อที่ดินของชาวบ้านบริเวณข้างเคียงเพิ่มเติมจำนวน ๑๒ ไร่ แล้วสร้างโบสถ์หลังใหม่ที่ออกแบบโดย ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ใช้เวลาสร้างอาคารโบสถ์พร้อมพระประธานปางมารวิชัย ประมาณ ๑ ปีกว่า ๆ ก็แล้วเสร็จ ใช้งบประมาณ ๔๐ กว่าล้านบาท แต่ยังไม่ทันได้ผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต ท่านเจ้าอาวาสที่อาพาธอยู่ก็มรณภาพเสียก่อนเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๙”
    เมื่อความงดงามของสถาปัตยกรรมภายนอกอุโบสถดึงดูดใจให้คนมาเข้าวัดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คนที่เข้ามาอยู่ในวัดได้นานขึ้น คือจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถที่งดงามและบอกเล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนา “สมเด็จพระสังฆราชท่านเคยรับสั่งไว้ว่าโบสถ์ต้องเปิดไว้ทุกวัน ญาติโยมจะได้เข้ามากราบพระ วัดต่างจังหวัดพระน้อย บางวันคนเข้าวัดมาไม่ได้เจอพระ เพราะฉะนั้นโบสถ์เป็นที่พึ่งทางใจ ทีนี้อาตมาสังเกตคนมาไหว้พระเข้ามาประมาณไม่เกินสองนาทีก็ออกไป ยกเว้นวันที่มีพิธีกรรม มีการสวดมนต์ ถึงจะอยู่นาน เลยคิดว่าทำยังไงให้คนอยู่ในโบสถ์นาน ๆ จะเอาอะไรจูงใจญาติโยม รวมทั้งเด็ก ๆ ที่เขามาในโบสถ์ ให้มีความตั้งใจอยากจะศึกษาธรรมะ จึงคิดให้วาดภาพจิตรกรรมขึ้นบอกเล่าเรื่องราวในพุทธศาสนา เพราะอาตมาอาจจะไม่ได้มีโอกาสเทศน์สอนญาติโยมเอง ไม่ได้พูดคุยกับทุกคนที่เข้ามา... ”



    ภายในอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย “หลวงพ่อสัมฤทธิ์” ขนาดหน้าตักกว้าง ๙๙ นิ้วเป็นประธานบนผนังจึงตระการตาด้วยภาพจิตรกรรมอันงดงาม ด้วยฝีมือของนายช่างเกรียงไกร เมืองมูล จากจังหวัดเชียงใหม่ ที่นำเอาลูกศิษย์มาเป็นผู้ช่วย ใช้เวลาในการรังสรรค์ผลงานทั้งสิ้นประมาณ ๒ ปีครึ่งจึงสำเร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา 

     “อาตมาเป็นคนกำหนดเองว่าอยากได้แบบนี้ทั้งหมด อยากได้จิตรกรรมแบบวัดเก่า ๆ ศิลปะแบบอยุธยา ด้านหลังเป็นไตรภูมิ ด้านหน้าเป็นภาพผจญมาร รอบ ๆ เป็นชาดกพระเจ้า ๑๐ ชาติ ไม่เอาแบบรัตนโกสินทร์ที่สวยเป๊ะเหมือนกันหมด ไม่เอาตามใจช่าง เรื่องสีทางวัดเป็นคนกำหนดเอง ไม่ชอบสีสด ๆ ที่ดูเหมือนฉากลิเก ก็เลยเลือกใช้สีที่ดูสบายตาและแปลกไม่เหมือนที่อื่น ๆ อันไหนไม่ถูกใจก็ให้แก้ แก้กันจนช่างรำคาญเลย” 



     จิตรกรรมที่ปรากฏจึงเป็นการคัดสรรความงดงามจากศิลปกรรมในอดีตมาผสมผสานกันอย่างลงตัว เริ่มจากด้านหลังพระประธานเป็นภาพเขียนเล่าเรื่องราวไตรภูมิตามความเชื่อทางพุทธศาสนาไว้โดยสังเชป ไล่ลงมาจากด้านบน เหนือเส้นสินเทาเป็นพรหมโลก ในชั้นอกนิษฐภพ รูปพรหมชั้นที่ ๕ อันเป็นชั้นสูงสุดของรูปภพ ซึ่งพรหมในชั้นนี้จะได้บรรลุอรหันต์ทั้งหมด จึงวาดภาพของพระพรหมประทับในวิมาน และหลายองค์ ทั้งยังแสดงความสักการะทุสสเจดีย์อันประดิษฐานฉลองพระองค์และผ้าโพกพระเศียรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์เมื่อเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (ออกบวช) รวมทั้งภาพพระอริยสงฆ์ประทับในวิมาน อันหมายถึงผู้สำเร็จเป็นพระอนาคามี ใกล้ความหลุดพ้น จะมาเกิดอยู่ในชั้นนี้ก่อนจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน 

    

     ใต้เส้นสินเทาลงมากึ่งกลางเป็นภาพของเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของจักรวาล มีปลาอานนท์หนุนเบื้องล่าง รายล้อมอยู่โดยรอบด้วยเขาสัตตบริภัณฑ์ ภายในชอบเขตของมหานทีสีทันดรที่ล้อมรอบด้วยกำแพงจักรวาลทั้ง ๔ มุมมีภาพของท้าวจตุโลกบาลผู้ปกครองเมืองในทิศทั้ง ๔ อันเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑ จาตุมหาราชิกา ได้แก่ท้าวเวสสุวรรณปกครองเมืองทิศเหนือ มีบริวารเป็นยักษ์ ท้าววิรุฬหกปกครองเมืองทิศใต้ มีบริวารเป็นกุมภัณฑ์ ท้าวธตรฐปกครองเมืองทิศตะวันออกมีบริวารเป็นคนธรรพ์ และท้าววิรูปักข์ ปกครองเมืองทิศตะวันตกมีบริวารเป็นนาค 




     บนยอดเขาพระสุเมรุคือดาวดึงส์ สรวงสวรรค์ชั้น ๒ วาดพระอินทร์ประทับในไพชยนต์ปราสาทแวดล้อมด้วยผู้หมู่เทวดา เคียงอยู่กับพระเกศแก้วจุฬามณีมหาเจดีย์อันประดิษฐานพระเมาลี(มวยผม)และพระเขี้ยวแก้วของพระโคตมะพุทธเจ้า บริเวณท้องฟ้าของสวรรค์ชั้นนี้ยังวาดไว้ด้วยภาพของช้างเอราวัณพาหนะของพระอินทร์ และต้นไม้ทิพย์ชื่อว่าปาริชาต ทั้งยังมีภาพเทวดาเหาะนำพระอาทิตย์ทรงรถ และพระจันทร์ทรงรถอยู่คนละฟาก

     ถัดลงมาเป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามบันไดแก้ว เบื้องล่างสุดวาดเป็นภาพของนรกภูมิอันน่าสยดสยอง ด้วยบรรดาสัตว์นรกรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด น่าเกลียดน่ากลัว จำนวนมากกำลังถูกนายนิรยบาลลงโทษทรมานในรูปแบบกรรมวิธีต่าง ๆ อย่างน่าสยดสยองตามวิบากของเวรกรรมที่ได้กระทำมา ภายใต้บรรยากาศอันร้อนแรงของเปลวไฟแห่งนรก




     บนผนังหุ้มกลองด้านหน้าตรงข้ามกับพระประธาน วาดเป็นภาพพุทธประวัติตอนชนะมารหรือมารผจญขนาดใหญ่ในรูปแบบคล้ายกันกับที่วัดใหญ่อินทารามที่จังหวัดชลบุรี เบื้องบนสุดเหนือเส้นสินเทาวาดเหล่าทวยเทพที่ตื่นตระหนกในอานุภาพของทัพมาร ถัดลงมาคือภาพองค์พระพุทธเจ้าประทับนั่งปางมารวิชัยบนโพธิบัลลังก์ภายใต้ซุ้มเรือนแก้ว เบื้องล่างเป็นพระแม่ธรณียืนบิดมวยผม ฝั่งขวามือเป็นภาพกองทัพพญาวัสดีมารพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ครบมือกลุ้มรุมเข้าโจมตี ในขณะที่ฝั่งซ้ายมือเป็นภาพกองทัพเหล่ามารถูกอุทกธารหลากไหลจากมวยผมของพระแม่ธรณีท่วมท้นจนต้องยอมพ่ายแพ้ต่อพระพุทธองค์ 




      ส่วนบนผนังอุโบสถทั้งสองฟากซ้ายขวา ด้านบนเหนือเส้นสินเทาวาดไว้ด้วยภาพเทพชุมนุม ถัดลงมาเป็นจิตรกรรมทศชาติชาดก เรียงไปตามลำดับทั้งหมด ๑๐ ชาติ ได้แก่ เตมียชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทกุมารชาดก พระนารถชาดก วิฑูรชาดกและเวสสันดรชาดก 




        ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกับที่ไหนแน่นอนก็คือจิตรกรรมที่อยู่ระหว่างช่องหน้าต่างทั้งสองฟากของผนังโบสถ์ ด้านหนึ่งวาดเป็นเรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวของเกาะสมุย ได้แก่หินตาหินยาย ประติมากรรมธรรมชาติ วัดศิลางูที่มีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วัดสำเร็จที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปะการังและพระปางอื่น ๆ จำนวนมาก วัดคุณาราม สถานที่เก็บสรีระสังขารไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อแดง เกจิอาจารย์สำคัญของเกาะสมุย  เจดีย์แหลมสอ เจดีย์สถาปัตยกรรมศรีวิชัยประดับด้วยกระเบื้องสีทอง สำนักสงฆ์แหลมดิน และวัดหน้าพระลาน อารามเก่าแก่ของเกาะสมุย




     ส่วนผนังอีกด้านวาดเป็นภาพจิตรกรรมเล่าถึงประเพณีของชาวเฉวง ประเพณีเจริญพระพุทธมนต์ชาวบ้านหมู่ ๓ ศาลาคอย ประเพณีลอยเรือเคราะห์ แบบพื้นบ้าน ทุกปีต้องมีมโนราห์ไปรำ ประเพณีการชนควาย การละเล่นกีฬาพื้นเมืองของชาวบ้าน แห่เรือพระออกพรรษา แห่ไปที่หน้าทอน งานประจำปี หนังตะลุง มหรสพพื้นเมือง เจดีย์เขาหัวจุก จุดชมทิวทัศน์บนยอดเขาของวัดสว่างอารมณ์







        ภาพชุดนี้เป็นแนวคิดของรองเจ้าอาวาส “อาตมาคิดเลือกสถานที่ไว้ แล้วก็พาช่างคนวาดไปดูตรงแหล่งท่องเที่ยวที่จะวาด เพื่อให้ได้ภาพที่สมจริงมากที่สุด” ท่านกล่าวพลางยิ้มอย่างภูมิใจ 

     สิ่งที่น่าสนใจอีกแห่งของวัดคือพระเจดีย์ศรีสุคตคีรีหรือเจดีย์เขาหัวจุก ตั้งอยู่บนบนยอดเขาหัวจุกในพื้นที่ของวัดสว่างอารมณ์ หลวงปู่กลบได้สร้างมณฑปและรอยพระพุทธบาทจำลองไว้เมื่อประมาณ ๗๐กว่า ปีก่อน แต่ต่อมาชำรุดผุพังไปตามกาลเวลา หลวงพ่อสงัดเจ้าอาวาสองค์ต่อมาได้นำเงินทำบุญที่สะสมไว้หลายสิบปีสร้างเจดีย์ครอบรอยพระพุทธบาทนั้นไว้ จากนั้นสมเด็จพุฒาจารย์วัดสระเกศ ได้ประทานพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานไว้บนยอดเจดีย์ให้สำหรับพุทธศานิกชนชาวสมุยได้สักการะ บริเวณเจดีย์สามารถมองเห็นทิวทัศน์ท้องทะเลได้อย่างกว้างไกลและสวยงาม



Thursday, June 18, 2020

ตามรอยทวารวดีเมืองชล ยลศิลปกรรมหลากสมัยรายทาง




 พระพุทธมงคลนิมิตต์ ปางประทับเรือขนาน ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย


ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓

            เอ่ยถึงจังหวัดชลบุรีน้อยครั้งที่จะมีคนพูดถึงในแง่มุมของแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณคดีประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่จะไปพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลกันเสียมากกว่า ทั้งที่ในด้านประวัติความเป็นมานั้นดินแดนแถบนี้ความรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีตกาลกว่าพันปี ย้อนหลังไปได้ถึงสมัยทวารวดีอันเป็นต้นยุคประวัติศาสตร์ชาติไทย   โดยปรากฏร่องรอยของเมืองโบราณในสมัยนี้ถึง ๓ เมืองด้วยกัน ได้แก่  เมืองศรีพโล  เมืองพระรถ  และเมืองพญาเร่  

ทิวทัศน์จากวิหารพระนอน บนยอดเขาของวัดเขาบางทราย

            เมืองศรีพโล ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาบางทราย อำเภอเมืองฯ เป็นเมืองท่าชายทะเลสมัยทวารวดีที่สำเภาบรรทุกสินค้าจากจีน เวียดนาม และกัมพูชา มาจอดแวะพัก ก่อนเดินทางต่อไปยังปากน้ำเจ้าพระยา ล่วงมาถึงสมัยอยุธยาเกิดสันดอนปากแม่น้ำจากตะกอนที่น้ำพัดพามาสะสม เมืองศรีพโลจึงต้องถูกทิ้งร้าง แล้วย้ายถิ่นฐานลงมาสร้างเมืองใหม่บริเวณ บางปลาสร้อย” อันเป็นที่ตั้งของเมืองชลบุรีในปัจจุบัน  

 โบราณวัดถุที่เก็บไว้ที่วัดศรีพโลทัย
 ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ ยังปรากฏร่องรอยของโบราณสถานและกำแพงเมืองศรีพโลอยู่ ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม ล้อมรอบด้วยกำแพงดินสูงจากพื้นประมาณ ๓ เมตร ไม่มีคูน้ำรอบเมืองเนื่องจากตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินเขาสูง  น่าเสียดายที่ทั้งหมดถูกทำลายลงจากการตัดถนนสุขุมวิทในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลงเหลือหลักฐานความรุ่งเรืองเพียงโบราณวัตถุจำนวนมากจากหลากยุคหลายสมัย เช่น ขวานหินขัด กำไลสำริด เต้าปูนสำริด เศษหม้อทะนนมีลวดลาย ถ้วยชามจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง พระพุทธรูปเนื้อชินปางลีลา แม่พิมพ์พระพุทธรูปดินเผาแบบอู่ทอง ตุ๊กตาเคลือบ กระปุกถ้วยชามเคลือบแบบสังคโลก กระเบื้องเชิงชายรูปเทพพนมในซุ้มเรือนแก้วแบบอยุธยา ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในศาลาประจักษ์ราษฎร์สามัคคีภายในวัดศรีพโลทัย 
 สถาปัตยกรรมภายในวัดเขาบางทราย พระอารามหลวง

           
แม้ร่องรอยในสมัยทวารวดีของเมืองศรีพโลจะไม่หลงเหลือให้ดูชมเท่าไหร่ ทว่าในบริเวณเขาบางทรายใกล้เคียงพื้นที่เมืองศรีพโล ยังมีวัดเขาบางทราย พระอารามหลวง อันมีประวัติว่าเคยเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่รกร้างผุพังไป ก่อนจะได้รับการสถาปนาเป็นวัดขึ้นใหม่ในกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 
 มณฑปพระพุทธบาทและวิหารพระนอน
 พระพุทธไสยาสน์ตะแคงซ้ายภายในวิหาร

            ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมอันงดงามหลายแห่งควรค่าแก่การแวะชม ที่น่าสนใจคือบนยอดเขาภายในบริเวณวัดซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ท้องทะเลและสะพานชลมารควิถี ๘๔ พรรษาได้กว้างไกล เป็นที่ตั้งของมณฑปพระพุทธบาทและวิหารพระนอน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่มีลักษณะแปลก คือประทับไสยาสน์ตะแคงซ้าย คล้ายกับพระพุทธไสยาสน์ที่วัดป่าประดู่ที่จังหวัดระยอง
 พระพุทธมงคลนิมิตต์ วัดธรรมนิมิตต์

             
ระหว่างทางที่วัดธรรมนิมิตต์ ก็เป็นอีกแห่งที่น่าแวะเข้าไปเยี่ยมชม เนื่องจากตรงหน้าทางขึ้นไปยังจุดชมทิวทัศน์เมืองชลบุรีบนยอดเขาของวัด ประดิษฐาน
พระพุทธรูปคอนกรีตประดับด้วยกระเบื้องโมเสกขนาดมหึมาสูงถึง ๓๔ เมตรนามว่าพระพุทธมงคลนิมิตต์ ตามประวัติว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๙  ก่อนจะพังทลายลงครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ทางวัดจึงสร้างองค์ปัจจุบันขึ้นแทน แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๗  

ถึงแม้ไม่ใช่พระพุทธรุปที่โบราณเก่าแก่ ทว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นปางที่หาดูชมได้ยาก (อาจกล่าวได้ว่าเป็นองค์เดียวของประเทศไทย สำหรับปางนี้ ที่มีขนาดใหญ่โต)  ผู้ออกแบบคือศาสตราจารย์ (พิเศษ) ประกิต (จิตร) บัวบุศย์  ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปีประจำปี พ.ศ.๒๕๔๕  ได้ออกแบบพุทธลักษณะตามพระพุทธรูปโบราณองค์หนึ่งที่เก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร  คือ “ปางประทับเรือขนาน” อิริยาบถประทับนั่งบนบัลลังก์ ห้อยพระบาท พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางหงายอยู่ข้างพระองค์  แสดงเหตุการณ์ในพุทธประวัติตอนพระเจ้ามหาลิแห่งกรุงเวสาลีทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จจากเวฬุวนารามไปทรงระงับโรคระบาดและภัยพิบัติต่าง ๆ ในเมืองเวสาลี   ครั้งนั้นพระพุทธองค์เสด็จพระราชดำเนินไปถึงแม่น้ำคงคา แล้วประทับเรือขนานไปยังเมืองเวสาลี

 สถาปัตยกรรมในวัดใหญ่อินทาราม


  ในพื้นที่ของเมืองบางปลาสร้อยในสมัยอยุธยา หรืออำเภอเมืองชลบุรีในปัจจุบัน วัดใหญ่อินทาราม พระอารามหลวง คือจุดหมายอีกแห่งที่มีศิลปกรรมน่าชม มีตำนานเล่าถึงความเป็นมาของวัดเก่าแก่ไปถึงสมัยอยุธยาตอนต้น โดยกล่าวถึง “พระนครอินทร์” หรือสมเด็จพระนครินทราธิราช กษัตริย์ลำดับที่ ๖ แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จประพาสเมืองบางปลาสร้อยโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทอดพระเนตรทิวทัศน์แมกไม้ชายทะเลอันเงียบสงบ จึงทรงเกิดพระราชศรัทธาได้สร้างวัดขึ้นมา พระราชทานนามว่า "วัดอินทาราม" ตามพระนามเดิมของพระองค์

 หน้าบันประดับถ้วยกระเบื้องเคลือบจีน

             แต่จากลักษณะสถาปัตยกรรมที่ปรากฏ แสดงให้เห็นว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ด้วยอุโบสถฐานแอ่นโค้งเป็นท้องสำเภาต่อพาไลเป็นหลังคายื่นออกมา รองรับด้วยเสาด้านหน้า หลังคากระเบื้องกาบกล้วยดินเผาเคลือบประดับใบระกาหางหงส์ทำซ้อนกันสองชั้น ช่อฟ้ารูปเทพนมหันหน้าออกทั้งสองด้าน ผสมผสานกับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่น่าจะมาจากการบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยต่อมา  หน้าบันทั้งด้านหน้าและหลังของโบสถ์จึงปั้นลายปูนปั้นช่อชั้นพรรณบุปผา ใช้ถ้วยกระเบื้องเคลือบจีนมาประดับ 

           เช่นเดียวกับกรอบประตูหน้าต่าง  อันเป็นความนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๓ ยังมีบานประตูประดับมุก   ๔ ช่องประตูด้านทิศตะวันออกเป็นลายประดับมุกฝีมือประณีตงดงาม ภายในวงกลมแสดงเรื่อง “ธรรมาธรรมะสงคราม” แสดงการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงเขียนเป็นภาพขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพอพระทัยมาก พระราชพรหมาจารย์ (จำรัส ภทฺโท) เจ้าอาวาสวัดใหญ่อินทารามจึงได้ให้นายช่างประดับมุกจำลองภาพดังกล่าวมาไว้ในลายประดับมุกบนบานประตู

 พระประธานและพระพุทธรูปหมู่ในพระอุโบสถ
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานพร้อมหมู่พระพุทธรูปรวม ๒๔ องค์  รูปแบบศิลปกรรมบางองค์เป็นศิลปกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา บางองค์เป็นศิลปกรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ บนเพดานเขียนลายดาวเพดานบนพื้นสีแดง บนขื่อเขียนลายคล้ายลายผ้าโบราณ เสาหกคู่ที่รองรับขื่อทุกต้นเขียนลายทอง   

             ความน่าสนใจอยู่ที่จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “จิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามและค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย”  งานศิลปกรรมเขียนด้วยสีฝุ่น สมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ ๓  และการเขียนซ่อมบูรณะในสมัยรัชกาลที่ ๔ - ๕ ภาพดั้งเดิมยังคงรูปแบบจิตรกรรมประเพณีนิยม คือวาดแบบสองมิติ ไม่มีแสงเงา อิริยาบถผู้คนแสดงออกด้วยนาฏลักษณ์ท่วงท่าการรำ  ส่วนภาพที่เขียนซ่อมบูรณะมีทัศนมิติความลึกและมีแสงเงาในลักษณะสมจริงมากขึ้นตามอิทธิพลจากศิลปะตะวันตก

 เทพชุมนุมบนผนังสองฟากฝั่ง

เนื้อหาจิตรกรรมในพระอุโบสถทั้งสองฟากผนังระหว่างช่องหน้าต่างเขียนเล่าเรื่องทศชาติชาดก ตอนบน เรียงรายด้วยภาพเทพชุมนุมสามชั้น ผนังตรงข้ามพระประธานวาดภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ ตอนล่างเป็นภาพหน้ากาลคาบพญานาค ๒ ตัว ในลักษณะเป็นปริศนาธรรม ผนังด้านหลังพระประธานวาดเรื่องไตรภูมิ สวยแปลกตาด้วยแผนภูมิจักรวาล สรวงสวรรค์ชั้นต่าง ๆ  ปลาอานนท์หนุนโลกอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ทิวทัศน์ป่าหิมพานต์ 

 จิตรกรรมตอนมารผจญบนผนังหน้าพระประธาน
 ปลาอานนท์หนุนเขาพระสุเมรุ
 นรกภูมิอันน่าสยดสยอง

ส่วนล่างของผนังเป็นนรกภูมิกับการลงทัณฑ์อันน่าสยดสยอง  ความสนุกของการชมจิตรกรรมอยู่ที่รายละเอียดเล็ก ๆ  น้อย ๆ ที่สอดแทรกอยู่ ต้องใช้เวลาในการชมมากพอสมควร สำหรับผู้ที่ชื่นชอบจริงจังอาจใช้เวลาชมได้ทั้งวัน (โดยปกติพระอุโบสถจะเปิดให้เข้าชมเฉพาะวันพระ ผู้จะเข้าเยี่ยมชมควรขออนุญาตเจ้าอาวาสก่อน) 

 ฐานสถูปก่ออิฐขนาดใหญ่สมัยทวารวดี ที่เมืองพระรถ

 เมืองโบราณทวารวดีอีกแห่ง อยุ่ที่ตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม คือเมืองพระรถ  เมืองโบราณที่เจริญรุ่งเรืองสมัยทวารวดีต่อเนื่องมาจนถึงสมัยลพบุรี อายุประมาณ ๑,๕๐๐ปี ถึง ๗๐๐ ปีก่อน  ชื่อ “เมืองพระรถ” ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง เพราะเป็นชื่อที่ชาวลาวที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งขึ้นตามนิทานพระรถ-เมรี อันมีที่มาจาก “รถเสนชาดก” ในคัมภีร์ปัญญาสชาดกของพุทธศาสนา เพื่ออธิบายถึงความเป็นมาโบราณสถานต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่
 ประติมากรรมพระรถเมรีบนเนินพระธาตุ

ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่ม มีลำน้ำหลายสายไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำพานทอง เมืองพระรถจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายในสมัยทวารวดี โดยใช้แม่น้ำสายนี้เป็นเส้นทางติดต่อกับเมืองศรีมโหสถในจังหวัดปราจีนบุรี  เมืองพระรถเป็นเมืองโบราณเก่าแก่กว่าเมืองศรีพโลเล็กน้อยและมีความสัมพันธ์กัน ดังปรากฏหลักฐานถนนโบราณระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตรเชื่อมต่อสองระหว่างเมืองนี้ ทั้งยังมีเส้นทางเดินเท้าผ่านเมืองพญาเร่ไปยังพื้นที่ในแถบจังหวัดระยองและจันทบุรีได้อีกด้วย   


ผังเมืองพระรถ เป็นรูปสี่ เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ประมาณ ๑.๓ ตารางกิโลเมตร กําแพงเมืองเป็นคันดินสองชั้นสูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตรเศษ ห่างกันประมาณ  ๑๐ เมตร คูเมืองกว้างประมาณ  ๑.๕ เมตร ปัจจุบันถนนสายพนัสนิคมฉะเชิงเทราตัดทับไปบนส่วนหนึ่งของกําแพงและคูเมืองพระรถด้านทิศตะวันออก

 ศาลที่ชาวบ้านสร้างขึ้นบนเนินพระธาตุ

ร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ให้เห็นคือเนินพระธาตุ โบราณสถานนอกกําแพงเมืองตรงมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บนเนินดินกว้างประมาณ ๓๒ เมตร สูงจากพื้นทุ่งนาโดยรอบประมาณ ๔ เมตร เป็นที่ตั้งของฐานพระสถูปสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่แบบทวารวดี กว้างประมาณ ๑๑  เมตร ยาวประมาณ ๑๓ เมตร  เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เอกชนเจ้าของที่ดินได้ก่อสร้างเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองสำหรับเก็บกระดูกบรรพบุรุษทับลงบนฐานเจดีย์โบราณดังที่เห็นปรากฏอยู่ ปัจจุบันได้มีการสร้างศาลประดิษฐานพระพุทธรูปและประติมากรรมพระรถ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าให้โชคลาภแม่นยำนัก นอกจากนี้ยังมีศาลพระรถเสน ศาลเจ้าพ่อดำใหญ่ ศาลปู่ทวด และศาลเจ้าแม่ตะเคียน เรียงรายให้สักการะด้วย
 พระพนัสบดีซึ่งขุดพบที่เมืองพระรถ

ในบริเวณเมืองพระรถนี้เคยขุดพบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญคือ “พระพนัสบดี” พระพุทธรูปสมัยทวารวดี อายุประมาณ ๑,๓๐๐-๑,๒๐๐  ปี จำหลักจากศิลาดำเนื้อละเอียด ปางประทับยืนบนดอกบัวยกพระหัตถ์ทั้งสองเสมอพระอุระ จีบพระหัตถ์ มีลายธรรมจักรบนฝ่าพระหัตถ์ทั้งสอง เบื้องพระปฤษฎางค์เป็นประภามณฑล ทรงสถิตเหนือสัตว์พาหนะในจินตนาการ  หน้าเป็นครุฑ เขาเป็นโค ปีกเป็นหงส์  สื่อถึงพาหนะของเทพเจ้าทั้งสามในศาสนาฮินดู เรียกชื่อว่า “พนัสบดี”  โดยพระพนัสบดีที่พบ ณ เมืองพระรถได้ชื่อว่างดงามที่สุดในบรรดาพระพนัสบดีหลายองค์ที่พบในประเทศไทย

 โบราณสถานสระสี่เหลี่ยม

ห่างจากเมืองพระรถไม่ไกล สระสี่เหลี่ยม คือโบราณสถานอีกแห่งในสมัยทวารวดี  ตัวสระเป็นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาดกว้างประมาณ ๑๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๐ เมตร และลึกประมาณ ๓.๕  เมตร ขุดตัดศิลาแลงเป็นหน้าเรียบลึกลงไปแนวดิ่งได้มุมฉากทั้งสี่ด้าน ราวกับใช้เครื่องจักรตัด ทางด้านทิศตะวันตกมีบันไดหินลงไป ๑๒  ขั้นเป็นแหล่งกักเก็บน้ำธรรมชาติที่ใช้ในชุมชนโบราณสมัยทวารวดี 

 ปลาในสระสี่เหลี่ยม

ชาวบ้านเรียกว่า “สระพระรถ” เพราะเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ให้น้ำไก่ของพระรถเสนเมื่อครั้งเป็นเด็กวัยรุ่นออกมาตีไก่กับชาวบ้านเพื่อพนันเอาข้าวไปเลี้ยงแม่และป้า ปัจจุบันมีผู้บริจาคที่ดินเพิ่มสำหรับจัดวางประติมากรรม“พระรถอุ้มไก่” หล่อด้วยโลหะ พร้อมสร้างบุษบกครอบไว้ริมสระด้านทิศตะวันออก ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ดังจะเห็นได้จากรูปปั้นไก่ชนมาแก้บนมากมายทั่วบริเวณ ในสระยังมีผู้นำพันธุ์ปลานิลและปลาสวายมาเลี้ยงไว้ให้ว่ายเวียนดูมีชีวิตชีวา

 อุโบสถหลังเก่าของวัดโบสถ์ มีหน้าจั่วสองชั้น

ในพื้นที่ใกล้เคียงกันนี้ยังมีวัดโบสถ์ ไม่ปรากฏประวัติการสร้าง แต่จากรูปแบบสถาปัตยกรรมน่าจะอยู่ในช่วงอยุธยาตอนปลาย เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒  พ.ศ. ๒๓๑๐ ผู้คนจำนวนมากได้อพยพหนีภัยสงครามมาตั้งถิ่นฐานหากินที่ใหม่ในบริเวณนี้  ความน่าสนใจของวัดโบสถ์อยู่ที่สถาปัตยกรรมของอุโบสถ ที่มีจั่วซ้อนกันสองชั้นเป็นรูปแบบที่แปลกจากทั่วไป และหลวงพ่อโต พระประธานสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ศิลปกรรมสุโขทัยผสมอู่ทอง ที่อัญเชิญมาประดิษฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ (ปัจจุบันย้ายไปประดิษฐานในอุโบสถหลังใหม่)

 ภายในอุโบสถเก่าเคยมีจิตรกรรมฝาผนังแต่ลบเลือนไปหมดแล้ว  คงหลงเหลือภาพจิตรกรรมที่น่าจะร่วมสมัยกันอยู่บนผนังศาลาการเปรียญไม้หลังเก่าอายุร้อยกว่าปี เชื่อว่าวัดนี้เคยใช้เป็นสถานที่ทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของไพร่พลภายหลังที่กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่พม่า ในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงแวะมาพักทัพที่วัดนี้ระหว่างเดินทางไปตีเมืองจันทบุรี

บริเวณที่เคยเป็นแนวกำแพงเมืองพญาเร่ในปัจจุบัน

               เมืองพญาเร่ เมืองยุคทวารวดีแห่งที่ ๓ ตั้งในเขตตำบลบ่อทอง  อำเภอบ่อทอง ตั้งอยู่ห่างจากเมืองพระรถประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ลักษณะที่มีการบันทึกข้อมูลไว้ คือผังเมืองเป็นรูปวงรี ๒ ชั้น ชั้นแรกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑,๑๐๐ เมตร ส่วนชั้นในประมาณ ๖๐๐ เมตร เคยหลงเหลือร่องรอยคูเมืองและคันดินของตัวเมืองชั้นนอกทางด้านเหนือ ไม่ปรากฏโบราณสถานขนาดใหญ่ จึงสันนิษฐานว่าเมืองพญาเร่เป็นแค่เมืองหน้าด่านของเมืองพระรถ บนเส้นทางสัญจรไปยังเมืองโบราณอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเท่านั้น

ส่วนตามความเชื่อชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นเมืองคชปุระของนางยักษ์สันธมาร เนื่องจากตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาเหมือนกับในนิทานเรื่องพระรถเมรี ปัจจุบันบริเวณเมืองพญาเร่ชาวบ้านครอบครองพื้นที่ใช้ทำการเกษตร สอบถามจากร้านของชำที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ได้ความว่าร่องรอยคูเมืองและคันดินแนวกำแพงที่เคยเหลืออยู่ถูกทำลายไปหมดแล้ว

 เจ้าพ่อพญาเร่ วีรบุรุษแห่งบ่อทอง

ในพื้นที่ชาวบ้านได้สร้างศาลเล็ก ๆ ขึ้นไว้สักการบูชาเจ้าพ่อพญาเร่ ซึ่งตามประวัติว่าเป็นทหารเข้าร่วมรบกับสมเด็จพระเจ้าตากสิน เมื่อครั้งเดินทัพไปตีเมืองจันทบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์และตั้งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรขึ้นเป็นราชธานี เจ้าพ่อพญาเร่ได้กลับมาค้นหาทองคำในบริเวณคูเมืองพญาเร่ซึ่งบริเวณนี้มีทองคำมากจนได้ชื่อว่า “บ่อทอง” แล้วลำเลียงทองคำทางแพผ่านคลองหลวงเพื่อไปร่วมสมทบในการสร้างกรุงธนบุรี  
 ศาลเจ้าพ่อพญาเร่ภายในโรงเรียนอนุบาลบ่อทอง

 ปี ๒๕๓๙ นายอำเภอบ่อทองในขณะนั้นได้รวบรวมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา พ่อค้า ประชาชน ชาวบ่อทอง หล่อรูปพญาเร่แล้วสร้างศาลใหม่ อัญเชิญ ขึ้นประดิษฐานที่ในบริเวณโรงเรียนอนุบาลบ่อทอง เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๐


คู่มือนักเดินทาง


            วัดเขาบางทราย  ตั้งอยู่เลขที่ ๒๐๑ หมู่ ๖ ถนนสุขุมวิท ตำบลบางทราย อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี   เปิดให้เข้าชม ๐๖.๐๐-๑๘.๐๐ นาฬิกา ไม่เสียค่าเข้าชม  จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓ (ถนนสุขุมวิท) ก่อนถึงตัวจังหวัดชลบุรีประมาณ ๒ กิโลเมตร เมื่อผ่านสามแยก บขส. ชลบุรีชิดซ้ายเลี้ยวเข้าหน้าวัดเข้าไปในวัด มีถนนเล็ก ๆ ผ่านวัดและโรงเรียน ขึ้นเขาไปถึงจุดชมทิวทัศน์ ระยะทางประมาณ ๕๐๐ เมตรเป็นถนนลาดยางไม่ชันมาก หรือเดินขึ้นทางบันไดประมาณ ๑,๐๐๐ขั้น

            วัดธรรมนิมิตต์ ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านสวน บนถนนสายชลบุรี-พนัสนิคม ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๑ กิโลเมตร จากวัดเขาบางทรายมาตามทางหลวงหมายเลข ๓ ถึงสี่แยกเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๑ ไปอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร วัดอยู่ทางซ้ายมือ

วัดใหญ่อินทาราม ตั้งอยู่เลขที่ ที่ ๘๕๘ ถนนเจตน์จำนงค์ ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี   โทรศัพท์ ๐ ๓๘๒๗ ๕๘๔๔  ๐ ๓๘๒๘ ๓๒๖๔  เวลาเปิด ๐๘.๐๐ -๑๗.๐๐ นาฬิกา ไม่เสียค่าเข้าชม    รถยนต์ส่วนตัว เริ่มที่ตัวเมืองชลบุรี จากสี่แยกเฉลิมไทย (เฉลิมไทยชอปปิ้งมอลล์) ใช้ถนนโพธิ์ทอง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจตน์จำนง วัดอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงสี่แยกท่าเกวียน มีลานจอดรถที่หน้าวัด หรือใช้รถประจำทางสายรอบตัวเมืองชลบุรีไปลงหน้าวัด ควรไปเที่ยวชมในวันพระ หากเป็นวันธรรมดา ต้องติดต่อขออนุญาตที่เจ้าอาวาส  ทางวัดมีพระนักวิชาการช่วยนำชมและอธิบายให้ความรู้ด้วย

               เมืองพระรถ ตั้งอยู่ที่ตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ห่างจากตัวอำเภอพนัสนิคมไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๒ กิโลเมตร จากตัวอำเภอพนัสนิคมตรงไปตาม ถนนสุขประยูร ซึ่งจะไปต่อกับทางหลวงหมายเลข ๓๑๕  (ถนนพนัสนิคม-ฉะเชิงเทรา)  ระยะทางประมาณ ๑ กิโลเมตร จากตัวอำเภอ  ถัดจากหลักกิโลเมตรที่ ๒๗ จะมีทางแยกซ้ายเข้าวัดหน้าพระธาตุ เลี้ยวซ้ายและตรงเข้าไปตามทางอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร ถึงเมืองพระรถ

            วัดโบสถ์ ตั้งอยู่ที่ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี  จากสี่แยกพนัสนิคมไปตามถนนสุขประยูร ไปต่อกับทางหลวงหมายเลข ๓๑๕  (ถนนพนัสนิคม-ฉะเชิงเทรา)  ประมาณ ๖ กม. จะเห็นทางเข้าวัดอยู่ซ้ายมือ

สระสี่เหลี่ยม ตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ตำบลสระสี่เหลี่ยม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี   ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๑๕ (พนัสนิคม – ฉะเชิงเทรา) ประมาณ ๘  กิโลเมตร ถึงคลองชลประทาน เลี้ยวขวาไปตามถนนชลประทานอีกประมาณ  ๕ กิโลเมตร ถึงโบราณสถานสระสี่เหลี่ยม

ศาลเจ้าพ่อพญาเร่ ตั้งอยู่ใน โรงเรียนอนุบาลบ่อทอง  หมู่ที่ ๑   ตำบลบ่อทอง อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี  จากตำบลสระสี่เหลี่ยม ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๓๑  มาเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๓๔๐  ระยะทางประมาณ ๕๔ กิโลเมตร ถึงศาลเจ้าพ่อพญาเร่