Thursday, June 18, 2020

ตามรอยทวารวดีเมืองชล ยลศิลปกรรมหลากสมัยรายทาง




 พระพุทธมงคลนิมิตต์ ปางประทับเรือขนาน ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย


ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓

            เอ่ยถึงจังหวัดชลบุรีน้อยครั้งที่จะมีคนพูดถึงในแง่มุมของแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณคดีประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่จะไปพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลกันเสียมากกว่า ทั้งที่ในด้านประวัติความเป็นมานั้นดินแดนแถบนี้ความรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีตกาลกว่าพันปี ย้อนหลังไปได้ถึงสมัยทวารวดีอันเป็นต้นยุคประวัติศาสตร์ชาติไทย   โดยปรากฏร่องรอยของเมืองโบราณในสมัยนี้ถึง ๓ เมืองด้วยกัน ได้แก่  เมืองศรีพโล  เมืองพระรถ  และเมืองพญาเร่  

ทิวทัศน์จากวิหารพระนอน บนยอดเขาของวัดเขาบางทราย

            เมืองศรีพโล ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาบางทราย อำเภอเมืองฯ เป็นเมืองท่าชายทะเลสมัยทวารวดีที่สำเภาบรรทุกสินค้าจากจีน เวียดนาม และกัมพูชา มาจอดแวะพัก ก่อนเดินทางต่อไปยังปากน้ำเจ้าพระยา ล่วงมาถึงสมัยอยุธยาเกิดสันดอนปากแม่น้ำจากตะกอนที่น้ำพัดพามาสะสม เมืองศรีพโลจึงต้องถูกทิ้งร้าง แล้วย้ายถิ่นฐานลงมาสร้างเมืองใหม่บริเวณ บางปลาสร้อย” อันเป็นที่ตั้งของเมืองชลบุรีในปัจจุบัน  

 โบราณวัดถุที่เก็บไว้ที่วัดศรีพโลทัย
 ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ ยังปรากฏร่องรอยของโบราณสถานและกำแพงเมืองศรีพโลอยู่ ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม ล้อมรอบด้วยกำแพงดินสูงจากพื้นประมาณ ๓ เมตร ไม่มีคูน้ำรอบเมืองเนื่องจากตัวเมืองตั้งอยู่บนเนินเขาสูง  น่าเสียดายที่ทั้งหมดถูกทำลายลงจากการตัดถนนสุขุมวิทในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลงเหลือหลักฐานความรุ่งเรืองเพียงโบราณวัตถุจำนวนมากจากหลากยุคหลายสมัย เช่น ขวานหินขัด กำไลสำริด เต้าปูนสำริด เศษหม้อทะนนมีลวดลาย ถ้วยชามจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง พระพุทธรูปเนื้อชินปางลีลา แม่พิมพ์พระพุทธรูปดินเผาแบบอู่ทอง ตุ๊กตาเคลือบ กระปุกถ้วยชามเคลือบแบบสังคโลก กระเบื้องเชิงชายรูปเทพพนมในซุ้มเรือนแก้วแบบอยุธยา ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในศาลาประจักษ์ราษฎร์สามัคคีภายในวัดศรีพโลทัย 
 สถาปัตยกรรมภายในวัดเขาบางทราย พระอารามหลวง

           
แม้ร่องรอยในสมัยทวารวดีของเมืองศรีพโลจะไม่หลงเหลือให้ดูชมเท่าไหร่ ทว่าในบริเวณเขาบางทรายใกล้เคียงพื้นที่เมืองศรีพโล ยังมีวัดเขาบางทราย พระอารามหลวง อันมีประวัติว่าเคยเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่รกร้างผุพังไป ก่อนจะได้รับการสถาปนาเป็นวัดขึ้นใหม่ในกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 
 มณฑปพระพุทธบาทและวิหารพระนอน
 พระพุทธไสยาสน์ตะแคงซ้ายภายในวิหาร

            ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมอันงดงามหลายแห่งควรค่าแก่การแวะชม ที่น่าสนใจคือบนยอดเขาภายในบริเวณวัดซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ท้องทะเลและสะพานชลมารควิถี ๘๔ พรรษาได้กว้างไกล เป็นที่ตั้งของมณฑปพระพุทธบาทและวิหารพระนอน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่มีลักษณะแปลก คือประทับไสยาสน์ตะแคงซ้าย คล้ายกับพระพุทธไสยาสน์ที่วัดป่าประดู่ที่จังหวัดระยอง
 พระพุทธมงคลนิมิตต์ วัดธรรมนิมิตต์

             
ระหว่างทางที่วัดธรรมนิมิตต์ ก็เป็นอีกแห่งที่น่าแวะเข้าไปเยี่ยมชม เนื่องจากตรงหน้าทางขึ้นไปยังจุดชมทิวทัศน์เมืองชลบุรีบนยอดเขาของวัด ประดิษฐาน
พระพุทธรูปคอนกรีตประดับด้วยกระเบื้องโมเสกขนาดมหึมาสูงถึง ๓๔ เมตรนามว่าพระพุทธมงคลนิมิตต์ ตามประวัติว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๙  ก่อนจะพังทลายลงครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ทางวัดจึงสร้างองค์ปัจจุบันขึ้นแทน แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๗  

ถึงแม้ไม่ใช่พระพุทธรุปที่โบราณเก่าแก่ ทว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นปางที่หาดูชมได้ยาก (อาจกล่าวได้ว่าเป็นองค์เดียวของประเทศไทย สำหรับปางนี้ ที่มีขนาดใหญ่โต)  ผู้ออกแบบคือศาสตราจารย์ (พิเศษ) ประกิต (จิตร) บัวบุศย์  ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปีประจำปี พ.ศ.๒๕๔๕  ได้ออกแบบพุทธลักษณะตามพระพุทธรูปโบราณองค์หนึ่งที่เก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร  คือ “ปางประทับเรือขนาน” อิริยาบถประทับนั่งบนบัลลังก์ ห้อยพระบาท พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางหงายอยู่ข้างพระองค์  แสดงเหตุการณ์ในพุทธประวัติตอนพระเจ้ามหาลิแห่งกรุงเวสาลีทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จจากเวฬุวนารามไปทรงระงับโรคระบาดและภัยพิบัติต่าง ๆ ในเมืองเวสาลี   ครั้งนั้นพระพุทธองค์เสด็จพระราชดำเนินไปถึงแม่น้ำคงคา แล้วประทับเรือขนานไปยังเมืองเวสาลี

 สถาปัตยกรรมในวัดใหญ่อินทาราม


  ในพื้นที่ของเมืองบางปลาสร้อยในสมัยอยุธยา หรืออำเภอเมืองชลบุรีในปัจจุบัน วัดใหญ่อินทาราม พระอารามหลวง คือจุดหมายอีกแห่งที่มีศิลปกรรมน่าชม มีตำนานเล่าถึงความเป็นมาของวัดเก่าแก่ไปถึงสมัยอยุธยาตอนต้น โดยกล่าวถึง “พระนครอินทร์” หรือสมเด็จพระนครินทราธิราช กษัตริย์ลำดับที่ ๖ แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จประพาสเมืองบางปลาสร้อยโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทอดพระเนตรทิวทัศน์แมกไม้ชายทะเลอันเงียบสงบ จึงทรงเกิดพระราชศรัทธาได้สร้างวัดขึ้นมา พระราชทานนามว่า "วัดอินทาราม" ตามพระนามเดิมของพระองค์

 หน้าบันประดับถ้วยกระเบื้องเคลือบจีน

             แต่จากลักษณะสถาปัตยกรรมที่ปรากฏ แสดงให้เห็นว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ด้วยอุโบสถฐานแอ่นโค้งเป็นท้องสำเภาต่อพาไลเป็นหลังคายื่นออกมา รองรับด้วยเสาด้านหน้า หลังคากระเบื้องกาบกล้วยดินเผาเคลือบประดับใบระกาหางหงส์ทำซ้อนกันสองชั้น ช่อฟ้ารูปเทพนมหันหน้าออกทั้งสองด้าน ผสมผสานกับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่น่าจะมาจากการบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยต่อมา  หน้าบันทั้งด้านหน้าและหลังของโบสถ์จึงปั้นลายปูนปั้นช่อชั้นพรรณบุปผา ใช้ถ้วยกระเบื้องเคลือบจีนมาประดับ 

           เช่นเดียวกับกรอบประตูหน้าต่าง  อันเป็นความนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๓ ยังมีบานประตูประดับมุก   ๔ ช่องประตูด้านทิศตะวันออกเป็นลายประดับมุกฝีมือประณีตงดงาม ภายในวงกลมแสดงเรื่อง “ธรรมาธรรมะสงคราม” แสดงการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงเขียนเป็นภาพขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพอพระทัยมาก พระราชพรหมาจารย์ (จำรัส ภทฺโท) เจ้าอาวาสวัดใหญ่อินทารามจึงได้ให้นายช่างประดับมุกจำลองภาพดังกล่าวมาไว้ในลายประดับมุกบนบานประตู

 พระประธานและพระพุทธรูปหมู่ในพระอุโบสถ
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานพร้อมหมู่พระพุทธรูปรวม ๒๔ องค์  รูปแบบศิลปกรรมบางองค์เป็นศิลปกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา บางองค์เป็นศิลปกรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ บนเพดานเขียนลายดาวเพดานบนพื้นสีแดง บนขื่อเขียนลายคล้ายลายผ้าโบราณ เสาหกคู่ที่รองรับขื่อทุกต้นเขียนลายทอง   

             ความน่าสนใจอยู่ที่จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “จิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามและค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย”  งานศิลปกรรมเขียนด้วยสีฝุ่น สมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ ๓  และการเขียนซ่อมบูรณะในสมัยรัชกาลที่ ๔ - ๕ ภาพดั้งเดิมยังคงรูปแบบจิตรกรรมประเพณีนิยม คือวาดแบบสองมิติ ไม่มีแสงเงา อิริยาบถผู้คนแสดงออกด้วยนาฏลักษณ์ท่วงท่าการรำ  ส่วนภาพที่เขียนซ่อมบูรณะมีทัศนมิติความลึกและมีแสงเงาในลักษณะสมจริงมากขึ้นตามอิทธิพลจากศิลปะตะวันตก

 เทพชุมนุมบนผนังสองฟากฝั่ง

เนื้อหาจิตรกรรมในพระอุโบสถทั้งสองฟากผนังระหว่างช่องหน้าต่างเขียนเล่าเรื่องทศชาติชาดก ตอนบน เรียงรายด้วยภาพเทพชุมนุมสามชั้น ผนังตรงข้ามพระประธานวาดภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ ตอนล่างเป็นภาพหน้ากาลคาบพญานาค ๒ ตัว ในลักษณะเป็นปริศนาธรรม ผนังด้านหลังพระประธานวาดเรื่องไตรภูมิ สวยแปลกตาด้วยแผนภูมิจักรวาล สรวงสวรรค์ชั้นต่าง ๆ  ปลาอานนท์หนุนโลกอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ทิวทัศน์ป่าหิมพานต์ 

 จิตรกรรมตอนมารผจญบนผนังหน้าพระประธาน
 ปลาอานนท์หนุนเขาพระสุเมรุ
 นรกภูมิอันน่าสยดสยอง

ส่วนล่างของผนังเป็นนรกภูมิกับการลงทัณฑ์อันน่าสยดสยอง  ความสนุกของการชมจิตรกรรมอยู่ที่รายละเอียดเล็ก ๆ  น้อย ๆ ที่สอดแทรกอยู่ ต้องใช้เวลาในการชมมากพอสมควร สำหรับผู้ที่ชื่นชอบจริงจังอาจใช้เวลาชมได้ทั้งวัน (โดยปกติพระอุโบสถจะเปิดให้เข้าชมเฉพาะวันพระ ผู้จะเข้าเยี่ยมชมควรขออนุญาตเจ้าอาวาสก่อน) 

 ฐานสถูปก่ออิฐขนาดใหญ่สมัยทวารวดี ที่เมืองพระรถ

 เมืองโบราณทวารวดีอีกแห่ง อยุ่ที่ตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม คือเมืองพระรถ  เมืองโบราณที่เจริญรุ่งเรืองสมัยทวารวดีต่อเนื่องมาจนถึงสมัยลพบุรี อายุประมาณ ๑,๕๐๐ปี ถึง ๗๐๐ ปีก่อน  ชื่อ “เมืองพระรถ” ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง เพราะเป็นชื่อที่ชาวลาวที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งขึ้นตามนิทานพระรถ-เมรี อันมีที่มาจาก “รถเสนชาดก” ในคัมภีร์ปัญญาสชาดกของพุทธศาสนา เพื่ออธิบายถึงความเป็นมาโบราณสถานต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่
 ประติมากรรมพระรถเมรีบนเนินพระธาตุ

ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่ม มีลำน้ำหลายสายไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำพานทอง เมืองพระรถจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายในสมัยทวารวดี โดยใช้แม่น้ำสายนี้เป็นเส้นทางติดต่อกับเมืองศรีมโหสถในจังหวัดปราจีนบุรี  เมืองพระรถเป็นเมืองโบราณเก่าแก่กว่าเมืองศรีพโลเล็กน้อยและมีความสัมพันธ์กัน ดังปรากฏหลักฐานถนนโบราณระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตรเชื่อมต่อสองระหว่างเมืองนี้ ทั้งยังมีเส้นทางเดินเท้าผ่านเมืองพญาเร่ไปยังพื้นที่ในแถบจังหวัดระยองและจันทบุรีได้อีกด้วย   


ผังเมืองพระรถ เป็นรูปสี่ เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ประมาณ ๑.๓ ตารางกิโลเมตร กําแพงเมืองเป็นคันดินสองชั้นสูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตรเศษ ห่างกันประมาณ  ๑๐ เมตร คูเมืองกว้างประมาณ  ๑.๕ เมตร ปัจจุบันถนนสายพนัสนิคมฉะเชิงเทราตัดทับไปบนส่วนหนึ่งของกําแพงและคูเมืองพระรถด้านทิศตะวันออก

 ศาลที่ชาวบ้านสร้างขึ้นบนเนินพระธาตุ

ร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ให้เห็นคือเนินพระธาตุ โบราณสถานนอกกําแพงเมืองตรงมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บนเนินดินกว้างประมาณ ๓๒ เมตร สูงจากพื้นทุ่งนาโดยรอบประมาณ ๔ เมตร เป็นที่ตั้งของฐานพระสถูปสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่แบบทวารวดี กว้างประมาณ ๑๑  เมตร ยาวประมาณ ๑๓ เมตร  เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เอกชนเจ้าของที่ดินได้ก่อสร้างเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองสำหรับเก็บกระดูกบรรพบุรุษทับลงบนฐานเจดีย์โบราณดังที่เห็นปรากฏอยู่ ปัจจุบันได้มีการสร้างศาลประดิษฐานพระพุทธรูปและประติมากรรมพระรถ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าให้โชคลาภแม่นยำนัก นอกจากนี้ยังมีศาลพระรถเสน ศาลเจ้าพ่อดำใหญ่ ศาลปู่ทวด และศาลเจ้าแม่ตะเคียน เรียงรายให้สักการะด้วย
 พระพนัสบดีซึ่งขุดพบที่เมืองพระรถ

ในบริเวณเมืองพระรถนี้เคยขุดพบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญคือ “พระพนัสบดี” พระพุทธรูปสมัยทวารวดี อายุประมาณ ๑,๓๐๐-๑,๒๐๐  ปี จำหลักจากศิลาดำเนื้อละเอียด ปางประทับยืนบนดอกบัวยกพระหัตถ์ทั้งสองเสมอพระอุระ จีบพระหัตถ์ มีลายธรรมจักรบนฝ่าพระหัตถ์ทั้งสอง เบื้องพระปฤษฎางค์เป็นประภามณฑล ทรงสถิตเหนือสัตว์พาหนะในจินตนาการ  หน้าเป็นครุฑ เขาเป็นโค ปีกเป็นหงส์  สื่อถึงพาหนะของเทพเจ้าทั้งสามในศาสนาฮินดู เรียกชื่อว่า “พนัสบดี”  โดยพระพนัสบดีที่พบ ณ เมืองพระรถได้ชื่อว่างดงามที่สุดในบรรดาพระพนัสบดีหลายองค์ที่พบในประเทศไทย

 โบราณสถานสระสี่เหลี่ยม

ห่างจากเมืองพระรถไม่ไกล สระสี่เหลี่ยม คือโบราณสถานอีกแห่งในสมัยทวารวดี  ตัวสระเป็นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาดกว้างประมาณ ๑๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๐ เมตร และลึกประมาณ ๓.๕  เมตร ขุดตัดศิลาแลงเป็นหน้าเรียบลึกลงไปแนวดิ่งได้มุมฉากทั้งสี่ด้าน ราวกับใช้เครื่องจักรตัด ทางด้านทิศตะวันตกมีบันไดหินลงไป ๑๒  ขั้นเป็นแหล่งกักเก็บน้ำธรรมชาติที่ใช้ในชุมชนโบราณสมัยทวารวดี 

 ปลาในสระสี่เหลี่ยม

ชาวบ้านเรียกว่า “สระพระรถ” เพราะเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ให้น้ำไก่ของพระรถเสนเมื่อครั้งเป็นเด็กวัยรุ่นออกมาตีไก่กับชาวบ้านเพื่อพนันเอาข้าวไปเลี้ยงแม่และป้า ปัจจุบันมีผู้บริจาคที่ดินเพิ่มสำหรับจัดวางประติมากรรม“พระรถอุ้มไก่” หล่อด้วยโลหะ พร้อมสร้างบุษบกครอบไว้ริมสระด้านทิศตะวันออก ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ดังจะเห็นได้จากรูปปั้นไก่ชนมาแก้บนมากมายทั่วบริเวณ ในสระยังมีผู้นำพันธุ์ปลานิลและปลาสวายมาเลี้ยงไว้ให้ว่ายเวียนดูมีชีวิตชีวา

 อุโบสถหลังเก่าของวัดโบสถ์ มีหน้าจั่วสองชั้น

ในพื้นที่ใกล้เคียงกันนี้ยังมีวัดโบสถ์ ไม่ปรากฏประวัติการสร้าง แต่จากรูปแบบสถาปัตยกรรมน่าจะอยู่ในช่วงอยุธยาตอนปลาย เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒  พ.ศ. ๒๓๑๐ ผู้คนจำนวนมากได้อพยพหนีภัยสงครามมาตั้งถิ่นฐานหากินที่ใหม่ในบริเวณนี้  ความน่าสนใจของวัดโบสถ์อยู่ที่สถาปัตยกรรมของอุโบสถ ที่มีจั่วซ้อนกันสองชั้นเป็นรูปแบบที่แปลกจากทั่วไป และหลวงพ่อโต พระประธานสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ศิลปกรรมสุโขทัยผสมอู่ทอง ที่อัญเชิญมาประดิษฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ (ปัจจุบันย้ายไปประดิษฐานในอุโบสถหลังใหม่)

 ภายในอุโบสถเก่าเคยมีจิตรกรรมฝาผนังแต่ลบเลือนไปหมดแล้ว  คงหลงเหลือภาพจิตรกรรมที่น่าจะร่วมสมัยกันอยู่บนผนังศาลาการเปรียญไม้หลังเก่าอายุร้อยกว่าปี เชื่อว่าวัดนี้เคยใช้เป็นสถานที่ทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของไพร่พลภายหลังที่กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่พม่า ในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงแวะมาพักทัพที่วัดนี้ระหว่างเดินทางไปตีเมืองจันทบุรี

บริเวณที่เคยเป็นแนวกำแพงเมืองพญาเร่ในปัจจุบัน

               เมืองพญาเร่ เมืองยุคทวารวดีแห่งที่ ๓ ตั้งในเขตตำบลบ่อทอง  อำเภอบ่อทอง ตั้งอยู่ห่างจากเมืองพระรถประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ลักษณะที่มีการบันทึกข้อมูลไว้ คือผังเมืองเป็นรูปวงรี ๒ ชั้น ชั้นแรกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑,๑๐๐ เมตร ส่วนชั้นในประมาณ ๖๐๐ เมตร เคยหลงเหลือร่องรอยคูเมืองและคันดินของตัวเมืองชั้นนอกทางด้านเหนือ ไม่ปรากฏโบราณสถานขนาดใหญ่ จึงสันนิษฐานว่าเมืองพญาเร่เป็นแค่เมืองหน้าด่านของเมืองพระรถ บนเส้นทางสัญจรไปยังเมืองโบราณอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเท่านั้น

ส่วนตามความเชื่อชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นเมืองคชปุระของนางยักษ์สันธมาร เนื่องจากตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาเหมือนกับในนิทานเรื่องพระรถเมรี ปัจจุบันบริเวณเมืองพญาเร่ชาวบ้านครอบครองพื้นที่ใช้ทำการเกษตร สอบถามจากร้านของชำที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ได้ความว่าร่องรอยคูเมืองและคันดินแนวกำแพงที่เคยเหลืออยู่ถูกทำลายไปหมดแล้ว

 เจ้าพ่อพญาเร่ วีรบุรุษแห่งบ่อทอง

ในพื้นที่ชาวบ้านได้สร้างศาลเล็ก ๆ ขึ้นไว้สักการบูชาเจ้าพ่อพญาเร่ ซึ่งตามประวัติว่าเป็นทหารเข้าร่วมรบกับสมเด็จพระเจ้าตากสิน เมื่อครั้งเดินทัพไปตีเมืองจันทบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์และตั้งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรขึ้นเป็นราชธานี เจ้าพ่อพญาเร่ได้กลับมาค้นหาทองคำในบริเวณคูเมืองพญาเร่ซึ่งบริเวณนี้มีทองคำมากจนได้ชื่อว่า “บ่อทอง” แล้วลำเลียงทองคำทางแพผ่านคลองหลวงเพื่อไปร่วมสมทบในการสร้างกรุงธนบุรี  
 ศาลเจ้าพ่อพญาเร่ภายในโรงเรียนอนุบาลบ่อทอง

 ปี ๒๕๓๙ นายอำเภอบ่อทองในขณะนั้นได้รวบรวมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา พ่อค้า ประชาชน ชาวบ่อทอง หล่อรูปพญาเร่แล้วสร้างศาลใหม่ อัญเชิญ ขึ้นประดิษฐานที่ในบริเวณโรงเรียนอนุบาลบ่อทอง เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๐


คู่มือนักเดินทาง


            วัดเขาบางทราย  ตั้งอยู่เลขที่ ๒๐๑ หมู่ ๖ ถนนสุขุมวิท ตำบลบางทราย อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี   เปิดให้เข้าชม ๐๖.๐๐-๑๘.๐๐ นาฬิกา ไม่เสียค่าเข้าชม  จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓ (ถนนสุขุมวิท) ก่อนถึงตัวจังหวัดชลบุรีประมาณ ๒ กิโลเมตร เมื่อผ่านสามแยก บขส. ชลบุรีชิดซ้ายเลี้ยวเข้าหน้าวัดเข้าไปในวัด มีถนนเล็ก ๆ ผ่านวัดและโรงเรียน ขึ้นเขาไปถึงจุดชมทิวทัศน์ ระยะทางประมาณ ๕๐๐ เมตรเป็นถนนลาดยางไม่ชันมาก หรือเดินขึ้นทางบันไดประมาณ ๑,๐๐๐ขั้น

            วัดธรรมนิมิตต์ ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านสวน บนถนนสายชลบุรี-พนัสนิคม ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๑ กิโลเมตร จากวัดเขาบางทรายมาตามทางหลวงหมายเลข ๓ ถึงสี่แยกเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๑ ไปอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร วัดอยู่ทางซ้ายมือ

วัดใหญ่อินทาราม ตั้งอยู่เลขที่ ที่ ๘๕๘ ถนนเจตน์จำนงค์ ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี   โทรศัพท์ ๐ ๓๘๒๗ ๕๘๔๔  ๐ ๓๘๒๘ ๓๒๖๔  เวลาเปิด ๐๘.๐๐ -๑๗.๐๐ นาฬิกา ไม่เสียค่าเข้าชม    รถยนต์ส่วนตัว เริ่มที่ตัวเมืองชลบุรี จากสี่แยกเฉลิมไทย (เฉลิมไทยชอปปิ้งมอลล์) ใช้ถนนโพธิ์ทอง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจตน์จำนง วัดอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงสี่แยกท่าเกวียน มีลานจอดรถที่หน้าวัด หรือใช้รถประจำทางสายรอบตัวเมืองชลบุรีไปลงหน้าวัด ควรไปเที่ยวชมในวันพระ หากเป็นวันธรรมดา ต้องติดต่อขออนุญาตที่เจ้าอาวาส  ทางวัดมีพระนักวิชาการช่วยนำชมและอธิบายให้ความรู้ด้วย

               เมืองพระรถ ตั้งอยู่ที่ตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ห่างจากตัวอำเภอพนัสนิคมไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๒ กิโลเมตร จากตัวอำเภอพนัสนิคมตรงไปตาม ถนนสุขประยูร ซึ่งจะไปต่อกับทางหลวงหมายเลข ๓๑๕  (ถนนพนัสนิคม-ฉะเชิงเทรา)  ระยะทางประมาณ ๑ กิโลเมตร จากตัวอำเภอ  ถัดจากหลักกิโลเมตรที่ ๒๗ จะมีทางแยกซ้ายเข้าวัดหน้าพระธาตุ เลี้ยวซ้ายและตรงเข้าไปตามทางอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร ถึงเมืองพระรถ

            วัดโบสถ์ ตั้งอยู่ที่ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี  จากสี่แยกพนัสนิคมไปตามถนนสุขประยูร ไปต่อกับทางหลวงหมายเลข ๓๑๕  (ถนนพนัสนิคม-ฉะเชิงเทรา)  ประมาณ ๖ กม. จะเห็นทางเข้าวัดอยู่ซ้ายมือ

สระสี่เหลี่ยม ตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ตำบลสระสี่เหลี่ยม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี   ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๑๕ (พนัสนิคม – ฉะเชิงเทรา) ประมาณ ๘  กิโลเมตร ถึงคลองชลประทาน เลี้ยวขวาไปตามถนนชลประทานอีกประมาณ  ๕ กิโลเมตร ถึงโบราณสถานสระสี่เหลี่ยม

ศาลเจ้าพ่อพญาเร่ ตั้งอยู่ใน โรงเรียนอนุบาลบ่อทอง  หมู่ที่ ๑   ตำบลบ่อทอง อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี  จากตำบลสระสี่เหลี่ยม ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๓๑  มาเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๓๔๐  ระยะทางประมาณ ๕๔ กิโลเมตร ถึงศาลเจ้าพ่อพญาเร่