ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ เรื่องและภาพ
ตีพิพม์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ธันวาคม ๒๕๖๖
เสาหินเรียงรายบนวิหาร |
เสาหินสีเทาเรียงรายนั้นโดดเด่นจนเห็นได้แต่ไกล จึงไม่น่าแปลกใจที่ถูกใช้เป็นชื่อเรียกขานอารามโบราณแห่งนี้ว่า
วัดเทิงเสาหิน ในปัจจุบัน
ชื่อเดิมในอดีตสมัยที่ยังเป็นซากวัดร้างจมอยู่กลางป่านั้น ชาวบ้านเคยเรียกกันว่า
“วัดดงแหน” เนื่องจากในบริเวณโบราณสถานถูกล้อมรอบด้วยป่าต้นแหนหรือต้นสมอพิเภก
ก่อนที่หลวงปู่เพ็ง พุทธธัมโม (พระครูสิริหรรษาภิบาล อดีตเจ้าอาวาส)
ธุดงค์ผ่านมาพบเข้า เกิดศรัทธาก่อตั้งเป็นวัดขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙
หลังจากนั้นกรมศิลปากรจึงได้มาสำรวจและทำการบูรณะขุดแต่งโบราณสถานวัดเทิงเสาหิน
แล้วขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในปี
พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดขอบเขตเนื้อที่ประมาณ ๔,๘๐๐ ตารางเมตร
เจดีย์ประธานของวัดสถาปัตย์แบบล้านนา |
ร่องรอยที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันคือเจดีย์ประธานของวัดที่หลงเหลือเพียงชุดชั้นฐานเขียงและชั้นฐานบัวย่อเก็จบางส่วนที่อยู่ถัดขึ้นไป
ตั้งอยู่บนฐานไพทีเดียวกันกับวิหาร ในบริเวณวิหารมีฐานชุกชีขนาดใหญ่กับชิ้นส่วนของเศียรพระปูนปั้นตั้งอยู่ด้านบนตรงกึ่งกลาง
ทั้งฐานไพที วิหาร และเจดีย์ล้วนแล้วแต่ก่อด้วยอิฐทั้งสิ้น
มีเพียงเสาวิหารอย่างเดียวที่ใช้วัสดุแตกต่างออกไป นั่นคือ “หิน”
เสาหินแปดเหลี่ยมเรียงรายมุมหนึ่งของวิหาร |
เสาหินที่เห็นตั้งอยู่เรียงรายในปัจจุบันนี้มาจากทางกรมศิลปากรได้มาทำการขุดแต่งบูรณะ
นำชิ้นส่วนเสาซึ่งล้มกระจัดกระจายมาต่อติดตั้งขึ้นใหม่เท่าที่ทำได้
ส่วนที่ต่อไม่ได้บางส่วนก็นำไปกองไว้ตรงมุมหนึ่งของฐานวิหาร
บางส่วนก็ยังคงทิ้งไว้ในตำแหน่งเดิมที่พบ
เสาหินที่โผล่ออกมาจากฐานชุกชี |
นอกเหนือไปจากเรื่องการใช้หินเป็นวัสดุทำเสาของวิหารซึ่งถือว่า“แปลกประหลาด”
แตกต่างจากวิหารอื่น ๆ ทั่วไป ปริศนาน่าสนใจอีกประการก็คือร่องรอยของเสาหินบางส่วนที่อยู่ในลักษณะ
“ผิดปกติ” ครับ
เห็นได้ชัดคือตรงฐานชุกชีทางฝั่งทิศเหนือ
ปรากฏแป้นหินที่เป็นฐานของเสาและเสาหินสี่เหลี่ยมโผล่ออกมาในลักษณะเอียงกะเท่เร่
ลักษณะเหมือนกับเสาได้ล้มลง แล้วไม่สามารถยกขึ้นได้ ต้องก่ออิฐทับทำเป็นฐานชุกชีประดิษฐานพระประธานเป็นแนวยาวมาติดผนังไปเลย
เล็งดูแล้วตัวเสาส่วนที่โผล่ออกมาอยู่ในแนวเดียวกับผนังวิหารพอดี
แสดงว่าก่ออิฐซ่อนเสาไว้ในผนัง เมื่อผนังอิฐของวิหารพังทลายลง เสาที่ถูกซ่อนไว้ถึงได้โผล่ออกมาอย่างที่เห็น
องค์พระพุทธรูปปูนปั้นคว่ำอยู่ในซุ้มหลังวิหาร |
แล้วก็ยังมีทางด้านหลังของวิหารที่ได้มีการก่ออิฐทับบนเสาหินสี่เหลี่ยมให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของฐานมณฑปหรือซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่
ซึ่งถูกขุดทะลวงหาสมบัติจนล้มคว่ำหน้าลงมาแตกหักเห็นเป็นซากอยู่
ดูจากขนาดองค์พระแล้วเศียรพระพุทธรูปที่ตั้งบนฐานชุกชีในวิหารก็น่าจะเป็นขององค์นี้แหละครับ
เป็นไปได้ว่าพระประธานองค์จริงอาจจะเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะ
แล้วถูกอัญเชิญไปที่วัดอื่นหรืออัญเชิญลงมากรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๑
ตามเรื่องราวพงศาวดารว่าได้อัญเชิญพระพุทธรูปโลหะจากวัดร้างต่าง ๆ ในหัวเมืองทางเหนือลงไปเป็นพระประธานตามวัดในพระนครจำนวนมาก
เศียรพระพุทธรูปปูนปั้นบนฐานชุกชีในวิหาร |
ด้วยเหตุเรื่องราวของวัดเทิงเสาหินไม่ปรากฏบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ใด
ๆ จึงได้มีการสันนิษฐานจากเสาหินที่ปรากฏว่าเป็นของที่สร้างขึ้นในสมัยขอม
แต่หากพิจารณาจากรูปแบบสถาปัตยกรรม รวมทั้งการขุดคูน้ำล้อมรอบวัดในรูปแบบของ
“เวียงพระธาตุ” แบบล้านนา ซึ่งเริ่มมีขึ้นในสมัยพญากือนาธรรมิกราชทรงสร้างวัดสวนดอกถวายให้พระสุมนเถระ
อันได้อาราธนาจากนครสุโขทัยมาเผยแผ่พุทธศาสนาลังกาวงศ์ในเชียงใหม่ ประกอบกับพุทธศิลป์ของเศียรพระปูนปั้นบนฐานชุกชีในวิหาร
ลักษณะศิลปกรรมแบบล้านนาอิทธิพลสุโขทัย วิหารวัดเทิงเสาหินจึงน่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่
๒๑ คือในสมัยล้านนา
ช่วงเวลาดังกล่าวเวียงเทิงก็เป็นเวียงที่อยู่ในเครือข่ายของเมืองพะเยา
กำลังนิยมสร้างพระพุทธรูปด้วยหินทรายในรูปแบบเฉพาะตัว เรียกว่า “สกุลช่างพะเยา”
อยู่พอดี จึงเป็นไปได้อย่างมากที่จะมีการพยายามสร้างวิหารด้วยหินทรายขึ้นมาด้วย
นอกเหนือจากการสร้างพระพุทธรูปที่โดดเด่นจนเป็นเอกลักษณ์
แป้นหินที่รองรับเสาหินบนฐานวิหาร |
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ยังคงต้องรอการค้นคว้าศึกษาจากนักโบราณคดี
ให้มาช่วยไขปริศนาว่าด้วย “เสาศิลา”
ของวัดเทิงเสาหินอย่างเป็นวิชาการและเป็นทางการอีกทีนึง
แต่ที่จริงแท้แน่นอน รับรองได้ในตอนนี้เลยก็คือ แวะมาเที่ยวชมแล้วไม่เสียเที่ยวแน่นอนครับ
![]() |
เทียบขนาดเสาหินกับตัวคน (สุรพล สุภาวัฒนกุล ภาพ) |