Tuesday, May 27, 2025

ตามรอยจิตรกรรมจากซีรี่ส์ The White Lotus วัดสุวรรณาราม- วัดสุทัศน์

 


ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ เรื่องและภาพ

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท.  เมษายน ๒๕๖๘


ภาพของนักท่องเที่ยวฝรั่งเดินถือภาพถ่ายพลางชะเง้อชะแง้มองภาพจิตรกรรมบนฝาผนังในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวรารามเปรียบเทียบกันกับภาพถ่ายในมือ ดูจะพบเห็นมากเป็นพิเศษครับในช่วงนี้ สังเกตจากการที่ผมเข้ามานั่งพักหลบร้อนอยู่แค่เพียงไม่กี่นาที ยังนับได้เป็นสิบรายแล้ว

ต้นเหตุนั้นมาจากซีรี่ส์ระดับอินเตอร์เรื่องดัง “The White Lotus ซีซัน ๓  ที่ “น้องลิซ่า” ลลิษา มโนบาล ศิลปิน K-POP สาวชาวไทยสุดฮอตร่วมแสดงอยู่ด้วยนั่นแหละครับเป็นสำคัญ  เนื่องพราะช่วงไตเติลเปิดเรื่องหรือ Opening Credit ได้นำเอาภาพจิตรกรรมฝาผนังจากวัดสุวรรณารามและวัดสุทัศนเทพวราราม สองอารามเก่าแก่ของไทยมาลำดับตกแต่งเป็นภาพเปิดเรื่องอย่างตระการตา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติแห่กันมาตามแกะรอยภาพงาม ๆ ที่เห็นจากซีรี่ส์กันเป็นทิวแถว

ความจริงแล้วภาพจิตรกรรมวัดสุทัศนเทพวรารามอันปรากฏในซีรี่ส์นั้นต้องบอกว่าเป็นเพียงส่วนย่อยครับ เนื่องจากถูกเลือกมาจาก “ภาพกาก” ซึ่งในจิตรกรรมไทยหมายถึงภาพซึ่งไม่ใช่เนื้อหาหลัก เป็นแค่ส่วนประกอบ เช่น สภาพแวดล้อม ทิวทัศน์  บ้านเรือน วิถีชีวิตผู้คน สิงสาราสัตว์ หลายภาพยังเลือกแค่บางส่วนไปตัดต่อเข้าด้วยกัน


นมิราชชาดก จิตรกรรมฝีมือชั้นบรมครูของหลวงวิจิตรเจษฎาหรือครูทองอยู่ จิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ ๓  ปรากฏเป็นภาพเด่นในไตเติลซีรี่ส์ 


ตัวภาพจิตรกรรมที่เป็นเนื้อหาหลักน่าดูชมจริง ๆ นั้นต้องบอกว่าอยู่ที่วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร อารามโบราณย่านบางกอกน้อย เดิมชื่อ “วัดทอง” เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่มาปฏิสังขรณ์ใหญ่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์  สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ พระอุโบสถ พระวิหาร พระเจดีย์ เก๋ง และเสนาสนะต่าง ๆ ล้วนสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้ ส่วนจิตรกรรมฝาผนังนั้นมาเขียนขึ้นพร้อมกับการปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓  ก่อนหน้าจะเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดสุวรรณาราม”  ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔

ลายเส้นสีสันจิตรกรรมอันตระการตานั้นรังสรรค์ขึ้นบนผนังภายในพระอุโบสถทั้งสี่ด้านรอบองค์ ”พระศรีศาสดา” พระพุทธรูปประธานโบราณซึ่งอัญเชิญจากหัวเมืองเหนือลงมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ รายละเอียดของภาพระยิบระยับจนไม่มีพื้นที่ว่าง ตั้งแต่ผนังหุ้มกลองทิศตะวันออกด้านหน้าพระประธาน ระหว่างช่องประตูเขียนภาพพุทธประวัติตอนประสูติและตอนมหาภิเนษกรมณ์ (เสด็จออกบวช) ในขณะพื้นที่เหนือแนวประตูขึ้นไปเขียนภาพพุทธประวัติตอนมารวิชัย (ผจญมาร) อย่างยิ่งใหญ่อลังการ ส่วนผนังทิศเหนือเขียนภาพจาก “ทศชาติชาดก” อันเป็น ๑๐ พระชาติสุดท้ายในการบำเพ็ญบารมีในฐานะพระโพธิสัตว์ก่อนมาประสูติเป็นพระพุทธเจ้า ไล่เรียงไปตามลำดับรวม ๙ ชาติ ได้แก่ เตมียชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทกุมารชาดก นารทชาดก และวิธูรชาดก

องค์พระศรีศาสดา พระประธานในอุโบสถ

ชาติที่สิบคือ “เวสสันดรชาดก”  อันเป็นชาติสุดท้ายซึ่งถือเป็น “มหาชาติ” นั้น ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ด้วยการใช้พื้นที่ของผนังด้านทิศใต้ระหว่างช่องหน้าต่างทั้งแถบ เขียนเป็นภาพจากเรื่องเวสสันดรชาดก ไล่เรียงตั้งแต่ตอนเริ่มต้นมาจากด้านหน้าตามลำดับมาจนถึงตอนจบตรงผนังหุ้มกลองระหว่างช่องประตูด้านหลังพระประธาน ครบถ้วนทั้ง ๑๓ กัณฑ์ เหนือกรอบประตูขึ้นไปเขียนภาพพุทธประวัติตอนเทโวโรหณะ คือพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลงมาตามบันไดนาค ระหว่างเสด็จทรงเปิดโลกให้เห็นทั่วถึงกันทั้งสามโลก โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกนรก (แต่พื้นที่นรกในภาพนี้น้อยไปหน่อย วาดไว้แค่ช่องเล็ก ๆ นิดเดียว พอเป็นพิธี อาจเพราะนรกดูไม่สวยงามเจริญหูเจริญตา) โดยมุมของภาพวาดเป็นสังกัสนครที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาถึงโลกมนุษย์ มีกษัตริย์และประชาชนออกมาตักบาตรรับเสด็จ     


จิตรกรรมเทพชุมนุมเรียงรายในระดับเหนือหน้าต่างอุโบสถ

เหนือช่องหน้าต่างบนผนังด้านข้างทั้งสองฟากฝั่งซ้ายขวายังเข้มขลังด้วยภาพเขียน “เทพชุมนุม” บรรดาเหล่าทวยเทพน้อยใหญ่ทั้งพระอินทร์ พระพรหม เทวดา ยักษ์ ครุฑ นาค ฤาษี นักสิทธิ์ วิทยาธร ในอิริยาบถประทับนั่งพับเพียบเรียบร้อย ต่างองค์ยอกรพนมหัตถ์ถวายอัญชุลี หันพักตร์ไปยังทิศตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของพระประธาน เรียงรายลดหลั่นกันเป็นแถวเป็นแนวสลับสีแดงดำอย่างมีระเบียบบนผนังรวมฝั่งละสี่แถวด้วยกัน เดินเข้าไปในพระอุโบสถแล้วให้บรรยากาศเหมือนได้ร่วมเข้าเฝ้าพระพุทธองค์บนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ยังไงยังงั้น

 ต้องยอมรับว่าผู้กำกับซีรี่ส์ The White Lotus  ซีซัน ๓ นั้น “ตาถึง” จริง ๆ ครับ ที่เลือกจิตรกรรมจากพระอุโบสถแห่งนี้ไปใช้เปิดเรื่อง เนื่องจากผลงานทั้งหมดในที่นี้ถือเป็นงานฝีมือระดับ “บรมครู” ชั้นแนวหน้าของสมัยรัชกาลที่ ๓ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะภาพหลักที่ใช้เป็น “ตัวเปิด” ซีรี่ส์ ซึ่งสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมนั้น คือผลงาน”มาสเตอร์พีซ” ของ หลวงวิจิตรเจษฎา หรือ ครูทองอยู่ ยอดฝีมืออันดับ ๑ ของแผ่นดิน ผู้ลือเลื่องชื่อด้วยความเชี่ยวชาญด้านลวดลายไทยประเพณีอันวิจิตรและความงดงามของลายเส้นพลิ้วสะบัดไหว ซึ่งเราจะเห็นจากในส่วนของ “เส้นฮ่อ” ใช้แบ่งเรื่องราวของภาพใน“เนมิราชชาดก” บริเวณห้องที่ ๔ ว่าโดดเด่นแตกต่างออกไปจากภาพอื่น ๆ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังมีเทคนิคเลือกใช้สีสันตัดกันบริเวณฉากหลังช่วยสร้างบรรยากาศขับเน้นจุดเด่นตรงกึ่งกลางให้ดูลอยตัวขึ้นมาเป็นสามมิติอย่างตื่นตาน่าอัศจรรย์

ชาวต่างชาติหลากลีลาเปี่ยมชีวิตชีวาอารมณ์ ฝีมือหลวงเสนีย์บริรักษ์ หรือครูคงแป๊ะ จิตรกรเอกผู้ได้ชื่อว่าฝีมือทัดเทียมกับครูทองอยู่

ทว่าภาพที่ไม่ได้ปรากฏในซีรีส์ก็ใช่ว่าจะยิ่งหย่อนกว่ากัน กลับถึงขั้น “ต้องห้ามพลาด” ด้วยซ้ำไป หนึ่งนั้นคือภาพของ “มโหสถชาดก” ในห้องที่ ๕ ข้าง ๆ  ห่างเพียงช่องหน้าต่างกั้น อันเป็นผลงานชิ้นเอกของหลวงเสนีย์บริรักษ์หรือ “ครูคงแป๊ะ” ซึ่งชื่อชั้นจัดอยู่ในระดับทัดเทียมกันกับ “ครูทองอยู่” ด้วยฐานะคู่แข่งคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียว ในส่วนพระมโหสถที่เป็นเรื่องราวหลักนั้นครูคงแป๊ะวาดตามธรรมเนียมนิยมมาตรฐานจิตรกรรมไทยทั่วไป ความโดดเด่นมาอยู่ตรงการวาดภาพผู้คนตัวประกอบในภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวต่างชาติ ทั้งฝรั่งยุโรปและแขกอาหรับ ล้วนสร้างสรรค์ด้วยอิริยาบถหลากหลาย ตั้งแต่ฉากแอ็คชั่นอย่างการต่อสู้กันบนหลังม้า ที่ให้ความรู้สึกได้ถึงความรวดเร็วว่องไวผาดโผน แม้แต่ภาพจับกลุ่มยืนชุมชุมกันเป็นหมู่ ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวาทั้งสีหน้าท่าทาง อารมณ์ เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องแต่งกายล้วนเก็บรายละเอียดได้สมจริง สื่อถึงฐานะอันไม่ธรรมดาให้รับรู้ได้โดยไม่ต้องมีคำบรรยาย 

เรือสำเภาอัปปางในพายุจากพระมหาชนกชาดก อีกภาพที่งดงามด้วยบรรยากาศ  

เรือสำเภาจีนและท้องทะเล ภาพทิวทัศน์ที่ผสานทัศนมิติแบบสมัยใหม่เข้าไปในจิตรกรรมไทยประเพณี

            ภาพอื่น ๆ ในอุโบสถก็เช่นกัน ย่อมไม่ใช่ชั้น “โนเนม” แน่นอน แม้จะไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามของจิตรกรผู้วาด นั่นก็เพราะความเชื่อในสมัยนั้นถือว่าสร้างงานศิลปะเพื่อเป็นพุทธบูชา เพียงฝีไม้ลายมือที่ฝากเอาไว้ก็บ่งบอกฝีมือได้ ว่าแต่ละท่านนั้นอยู่แนวหน้าในระดับ “ท็อปเท็น”ของยุคอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างเช่นในภาพ “มหาชนกชาดก” วาดคลื่นลมคลุ้มคลั่งกลางสมุทรซึ่งทำให้เรือสำเภาของพระมหาชนกอัปปางลงเอาไว้อย่างได้บรรยากาศสมจริง หรือภาพของทิวทัศน์ขบวนเรือสำเภาลอยละล่องท่องคลื่นกลางท้องทะเลในตอนสุดท้ายของเวสสันดรชาดกบนผนังด้านหลังองค์พระประธาน ปรากฏการนำเอาเทคนิคการวาดทัศนมิติใกล้ไกลแบบตะวันตกมาผสานเข้ากับจิตรกรรมไทยประเพณีได้อย่างลงตัว ให้อารมณ์กึ่งจริงกึ่งฝัน  (ทั้งสองภาพนี้ก็ถูกนำไปตัดต่อดัดแปลงเข้าด้วยกัน ใช้เป็นส่วนหนึ่งของไตเติลซีรีส์ด้วย) สรุปง่าย ๆ ว่างามขั้นอัศจรรย์ทุกภาพครับ หากมีเวลาควรชมจนครบถ้วนให้เป็นบุญตา ผมเองเดินดูติดลมเพลินชมจนลืมทั้งมื้อเช้ามื้อกลางวันกันเลยทีเดียว

ทิวทัศน์ของบ้านเมืองสมัยต้นรัตนโกสินทร์ปรากฏบนจิตรกรรมพระราชพิธีสิบสองเดือน วัดราชประดิษฐานสถิตมหาสีมาราม

ระหว่างทางมุ่งหน้ามายังวัดสุทัศน์ฯ  ผมไม่ลืมแวะเข้าไปชมจิตรกรรมในอุโบสถวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ถึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับซีรี่ส์ แต่ต้องมาชมเพราะเป็นผลงานอันทำให้เห็นชัดถึงพัฒนาการของจิตรกรรมอันต่อเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ ๓ อย่างของวัดสุวรรณาราม ซึ่งเริ่มมีอิทธิพลศิลปะแบบตะวันตกเข้ามาผสมผสานบางส่วน  ในขณะจิตรกรรมฝาผนังวัดราชประดิษฐ์ฯ ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พัฒนาไปอีกขั้น โดยผสมผสานงานจิตรกรรมแบบดั้งเดิมเข้ากับทัศนียภาพสมัยใหม่มากขึ้น เช่น เทพชุมนุมที่เคยเขียนให้ประทับนั่งเรียงแถวบนฉากหลังสีแดงหรือดำ ถูกปรับเปลี่ยนเขียนเป็นเทพชุมนุมแบบต่างเหาะเหินอยู่ในอากาศท่ามกลางท้องฟ้าครามและเมฆขาวเหมือนจริง 

ประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ วัดราชประดิษฐานสถิตมหาสีมาราม

 เนื้อหาของภาพก็ฉีกแนวจากเรื่องราวในพุทธศาสนาอย่างพุทธประวัติและชาดกต่าง ๆ หันมาเขียนป็นเรื่องราวเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแทน เช่น ภาพการทอดพระเนตรสุริยุปราคาและจันทรุปราคา บนผนังหุ้มกลองด้านหน้า  ส่วนผนังด้านข้างทั้งสองฟากเขียนเป็นภาพของ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” ตามพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้อายู่หัว รัชกาลที่ ๕  ไล่เรียงตามลำดับไป ซึ่งบางพิธีไม่มีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน เช่น  พิธีตรียัมพวาย  (โล้ชิงช้า) บางพิธีก็มีพัฒนาการกว้างขวางออกไปมาก เช่น พิธีลอยพระประทีป  (ปัจจุบันกลายเป็นประเพณีลอยกระทง) พิธีสงกรานต์  (ในภาพมีแต่การไปทำบุญที่วัด ก่อพระเจดีย์ทราย ไม่เห็นเล่นสาดน้ำกันแต่อย่างใด  ปัจจุบันพัฒนาการเป็นเทศกาลเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานไปแล้ว)  โดยเป็นการวาดในลักษณะจิตรกรรมไทยประเพณีผสมผสานด้วยทัศนมิติสมัยใหม่ เรียงรายด้วยตึกรามบ้านช่องวิถีชีวิตผู้คน เป็นการบันทึกสภาพของบ้านเมืองในช่วงรัชกาลที่ ๔-๕ เอาไว้ในทางอ้อม

ฉากประตูเมืองในเรื่องทธิวาหนชาดก จากพระเจ้าห้าร้อยชาติ บนเสาด้านหน้าพระประธานในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม

               เดินต่อมาจนถึงวัดสุทัศน์ในแดดยามบ่ายก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ เหนื่อยนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ร้อนนี่แหละทำให้ต้องขอนั่งพักก่อนสักหน่อย พอดีกับเป็นวันพระภายในวิหารมีธรรมเทศนา ถือโอกาสฟังไปพักไปในตัว ระหว่างนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลากหลายถือภาพเข้ามามองหาตามรอยจิตรกรรมจากซีรี่ส์ค่อนข้างเยอะ ผิดกับที่วัดสุวรรณาราม อาจเพราะวัดสุทัศน์ฯ เป็นแหล่งที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกกว่า พักจนหายร้อนก็พอดีกับธรรมเทศนาจบ เลยเดินไปตามดูกับเขาบ้าง

ภาพจิตรกรรมของวัดสุทัศน์ฯ นั้นเขียนขึ้นเพื่อแสดงถึงความเป็นศูนย์กลางจักรวาลของพระวิหารหลวง คือเขาพระสุเมรุบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ผนังสี่ด้านตั้งแต่แนวใต้ขอบหน้าต่างขึ้นไปจดฝ้าเพดานวาดภาพประวัติอดีตพระพุทธเจ้า ๒๗ พระองค์ ตามลำดับโดยเวียนขวาแบบทักษิณาวรรต บนเสาพระวิหารหลวง วาดภาพโลกสัณฐาน ป่าหิมพานต์ ทวีปทั้งสี่ที่อยู่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ และเรื่องราวจากชาดกรวมทั้งหมด ๓๐ เรื่อง ภาพที่ปรากฏในซีรี่ส์ส่วนใหญ่ก็อยู่แถว ๆ เสานี้แทบทั้งหมดครับ กับมีบางภาพอยู่แถว ๆ ผนังด้านหลังพระประธาน

ภาพของเสือกำลังกินซากกวาง ถูกฝูงหมาป่าเข้าล้อมกรอบเพื่อแย่งชิง บนเสาด้านข้างพระประธาน

อย่างบอกไว้ตอนแรก ว่าภาพจิตรกรรมจากวัดสุทัศน์ฯ ส่วนใหญ่ถูกนำไปตัดต่ออีกที แต่ก็ยังมีภาพที่ไม่ได้ดัดแปลงเลยอยู่เหมือนกัน อย่างภาพเสือกำลังกินซากกวาง ถูกล้อมกรอบโดยสุนัขป่าเพื่อแย่งชิงอาหาร บนเสาวิหารด้านซ้ายขององค์พระประธาน  อีกภาพภาพเด่นเป็นที่จดจำและดัดแปลงน้อยจนแทบไม่แตกต่างได้แก่ ภาพการรบตรงหน้าซุ้มประตูเมือง ภาพจริงอยู่บนเสาตรงหน้าพระประธาน เป็นภาพจากทธิวาหนชาดก ในซีรีส์ดัดแปลงเขียนคำว่า “บัวขาว” เอาไว้บนซุ้มประตู กับเติมภาพลิงกำลังต่อสู้กับคนเข้าไป ส่วนภาพอื่น ๆ นั้นดัดแปลงมากน้อยต่างกันไป แต่พิจารณาดูดี ๆ ก็เห็นได้ไม่ยากครับ  ไม่บอกดีกว่าว่าอยู่ตรงไหนบ้าง ให้ไปเดินหาดูกันเองสนุกกว่า

หนึ่งในทัพมารถูกจระเข้กัดกิน จิตรกรรมพุทธประวัติตอนมารวิชัย วัดสุวรรณาราม