Thursday, September 13, 2018

อลังการสองเจดีย์นิรนาม ความงดงามแปลกตาไม่ซ้ำใครในกรุงเก่า

เจดีย์รายแปดเหลี่ยม วัดมหาธาตุ งดงามด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมแปลกตา ลักษณะคล้าย “ถะ” หรือสถูปเจดีย์แบบจีน
คือเป็นแปดเหลี่ยมซ้อนกันหลายชั้น ต่างกันตรงที่มีส่วนยอดเป็นพระปรางค์ขนาดเล็ก


ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ชวนแวะและชวนชม
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท สิงหาคม ๒๕๖๑



 ในท่ามกลางร่องรอยความรุ่งเรืองแห่งอดีตกาลของกรุงศรีอยุธยา โบราณสถานมากมายถูกยกย่องให้ทรงคุณค่า ด้วยมีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญในหน้าในประวัติศาสตร์ ในขณะเดียวกันกับที่อีกจำนวนไม่น้อยปราศจากเรื่องราวที่มาที่ไป  กลับกลายเป็นเพียงซากปรักหักพังนิรนามไร้ซึ่งผู้คนเหลียวแลสนใจ

 ทว่าในบรรดาโบราณสถานอันไม่ปรากฏนามและประวัติความเป็นมาเหล่านี้ ถึงกับมีบางแห่งยังสามารถเปล่งประกายโดดเด่นสะดุดตาได้ โดยมิต้องอาศัยเรื่องราวเก่าแก่จากตำนานหรือพงศาวดารแต่ครั้งใดมาช่วยประโคมโหมโอ่ เพียงด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครและการประดับประดาอันวิจิตรตระการตา แม้จากร่องรอยความงามที่เหลืออยู่เพียงบางส่วน ยังเกินพอจะถูกจัดอยู่ในทำเนียบสถาปัตยกรรมอันล้ำเลอค่าน่าชมแห่งกรุงศรี ฯ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ด้วยที่ตั้งนอกเขตระเบียงคดของวัดและขนาดและสีสันที่ใกล้เคียงกันกับปรางค์รายจึงทำให้ดูกลมกลืนกันไปจนถูกมองข้าม 


เจดีย์รายทรงแปดเหลี่ยมหน้าวัดมหาธาตุ คือหนึ่งในจำนวนดังกล่าว เจดีย์รูปแบบนี้กล่าวได้ว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย นั่นคือพบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในพระนครศรีอยุธยา โดดเด่นเป็นสง่าอยู่นอกระเบียงคดของวัดมหาธาตุท่ามกลางปรางค์รายที่ตั้งเรียงเป็นแถวเป็นแนว

ส่วนฐานย่อมุมและซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปชั้นแรก 



องค์เจดีย์ก่ออิฐถือปูนตระหง่านบนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้ยี่สิบ แบ่งเป็นสี่ชั้นลดหลั่นซ้อนกันในแนวสอบขึ้นไปจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน

โดยรอบของชั้นแรกและชั้นที่สองแต่ละด้านก่อเป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนชั้นที่สามก่อเป็นซุ้มประดิษฐานประติมากรรมนูนสูงรูปสถูปเจดีย์ ตรงมุมระหว่างรอยต่อของซุ้มของทั้งสามชั้นประดับด้วยลายปูนปั้นรูปเทพนมซ้อนกันสององค์

ภายในซุ้มชั้นที่สามประดิษฐานประติมากรรมรูปสถูปเจดีย์ 
ประติมากรรมเทพพนมซ้อนกันสององค์ที่ประดับอยู่ตามมุมระหว่างซุ้ม 


ชั้นที่สี่แตกต่างออกไปด้วยการก่ออิฐฉาบปูนเป็นซุ้มยอดปรางค์ขนาดเล็กทั้งแปดด้าน (ภายในซุ้มคาดว่าจะประดิษฐานพระพุทธรูปนูนต่ำ แต่กะเทาะชำรุดเสียหายด้วยกาลเวลาไปหมดแล้ว) ประดับมุมรอยต่อระหว่างซุ้มปรางค์ด้วยปูนปั้นเทวรูปสี่กร (สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรูปพระนารายณ์หรือพระพรหม)

ชั้นที่สี่ซึ่งเป็นส่วนยอดของเจดีย์แปดเหลี่ยมทำเป็นซุ้มปรางค์แปดทิศโดยมีปรางค์ประธานอยู่กึ่งกลางเป็นส่วนยอด
ตรงมุมที่เป็นรอยต่อระหว่างซุ้มประดับด้วยปูนปั้นเทวรูปสี่กร
 

ส่วนยอดบนสุดเป็นปรางค์ขนาดเล็กตั้งอยู่กึ่งกลาง ว่ากันว่าบนยอดของปรางค์องค์กลางนี้เคยประดิษฐานสถูปสำริดซึ่งปัจจุบันได้ถูกนำไปจัดแสดงไว้ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยาแล้ว  

ด้วยความที่ตั้งอยู่ตรงมุมนอกระเบียงคดของวัดมหาธาตุรวมกับปรางค์รายที่มีขนาดใกล้เคียงกัน แลดูกลมกลืนกัน จึงทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยผ่านเลยไป โดยไม่ทันสังเกตเห็นความงดงามอันแปลกตาของรูปทรงและการประดับประดาอันมีเอกลักษณ์ระดับ “หนึ่งเดียวในกรุงเก่า”  เรียกได้ว่าพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัย

 ความงดงามของเจดีย์รายวัดโลกยสุธารามคือพระพุทธรูปในซุ้มเรือนแก้วที่เรียงรายซ้อนกันเป็นชั้น ๆ อย่างสวยงาม


เช่นเดียวกันกับที่วัดโลกยสุธาราม อันเป็นที่ตั้งของพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดเกาะเมืองอยุธยา  มุมกำแพงชั้นนอกด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ใต้เงาไม้อันร่มครึ้มซุกซ่อนไว้ด้วยเจดีย์รายทรงฝักข้าวโพดแปดเหลี่ยม อันงามละเอียดลออตาซึ่งสร้างขึ้นพร้อมวัดโลกยสุธาตั้งแต่แรก เพื่อให้เป็นเจดีย์ทิศประจำมุมกำแพงชั้นนอกของวัดทั้งสี่ทิศ

น่าเสียดายว่าเจดีย์รายอีก ๓ องค์ที่สร้างขึ้นร่วมสมัยกันพังทลายไปในกาลเวลาหมดสิ้นแล้ว ปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยแม้แต่ซาก จึงเท่ากับว่าเจดีย์รายทรงฝักข้าวโพดนี้เหลือแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น  


จดีย์รายแปดเหลี่ยมวัดโลกยสุธารามยืนเอนเอียงอยู่ในร่มเงาของแมกไม้


องค์เจดีย์เอนเอียงด้วยผ่านเวลามานาน ส่วนล่างของแม้เก่ากร่อน แต่จากการบูรณะขุดแต่งของกรมศิลปากรครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้พอเห็นเค้าของฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมได้ค่อนข้างชัด

ถัดขึ้นไปเป็นส่วนขององค์เจดีย์แปดเหลี่ยม แบ่งเป็นสี่ชั้นขนาดเท่า ๆ ซ้อนกันอยู่ โดยรอบทั้ง ๘ ด้าน  แต่ละชั้นก่ออิฐฉาบปูนเป็นซุ้ม ใช้เสากรอบซุ้มร่วมกันตรงมุม ภายในซุ้มแต่ละชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ แตกต่างกันไป  

 ปางของพระพุทธรูปในซุ้มจระนำทิศหลัก แตกต่างกับพระพุทธรูปในซุ้มจระนำทิศรอง

ชั้นแรกทำเป็นซุ้มจระนำ ภายในซุ้มประจำทิศหลักทั้งสี่ทิศประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนบนดอกบัว ปางรำพึง ส่วนซุ้มประจำทิศรองประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนบนดอกบัว ปางถวายเนตร

 พระพุทธรูปปางมารวิชัยบนโพธิบัลลังก์

ชั้นที่สอง สาม และสี่ แตกต่างจากชั้นแรก เนื่องจากก่ออิฐฉาบปูนทำเป็นซุ้มเรือนแก้ว พร้อมด้วยปูนปั้นรูปพญานาคสามเศียรประดับเหนือเสาตรงมุมที่เป็นรอยต่อระหว่างซุ้มในแต่ละด้าน ภายในซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่ง ปางสมาธิใต้ต้นโพธิ์ ภายในซุ้มชั้นที่สามประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่ง ปางมารวิชัยบนโพธิบัลลังก์ ส่วนภายในชั้นที่สี่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ

 ประติมากรรมปูนปั้นพญานาคสามเศียรประดับเหนือเสามุมของซุ้มเรือนแก้ว



 สภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบันไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก แต่ยังทำให้ผู้ที่ได้มาเยี่ยมชมรู้สึกได้ถึงความงดงาม  อดไม่ได้ที่จะจินตนาการไปถึงภาพเมื่อครั้งเจดีย์องค์นี้ยังมีสภาพสมบูรณ์ว่าจะตระการตาน่าเลื่อมใสขนาดไหน

  นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มายังวัดโลกยสุธาราม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทย มักจะแค่ลงมาจากรถ ไหว้พระนอนแล้วก็ขึ้นรถกลับไป ประมาณร้อยละ ๙๐ แทบไม่ค่อยมีใครเดินต่อมาทางเจดีย์รายหลังนี้กันเท่าไหร่ มีเพียงนักท่องเที่ยวฝรั่งไม่กี่คนที่มาหยุดยืนชื่นชมอย่างตื่นตาตื่นใจ ทั้งที่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่จัดอยู่ในระดับ “หนึ่งเดียวในกรุงเก่า” อีกเช่นกัน

 

ลวดลายปูนปั้นประดับประดาแม้หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย
แต่ยังชี้นำให้เห็นถึงความงดงามได้ในจินตนาการ


No comments:

Post a Comment