Friday, April 8, 2016

ประติมากรรมปูนปั้นพระโพธิสัตว์ทวารวดี...ที่ถ้ำยายจูงหลาน

 

การออกแบบอย่างประณีต เลือกปั้นประติมากรรมให้อยู่ในบริเวณที่แสงสาดส่อง ขับเน้นให้ดูโดดเด่นงดงาม

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ 
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ธันวาคม ๒๕๕๘.

ถ้ำยายจูงหลาน...ชื่ออันฟังดูน่ารักนี้มีที่มาจากการค้นพบถ้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในบริเวณสำนักสงฆ์เขาน้อย หมู่ ๔ บ้านไร่สะท้อน ตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี เมื่อปี ๒๕๔๘ หรือเมื่อสิบปีที่ผ่านมา

ภายในถ้ำหินปูนเล็ก ๆ สูงประมาณ ๔ เมตร  ภายในเป็นโถง เพดานสูงประมาณ  ๕ เมตร ใต้ปากถ้ำซึ่งถูกตกแต่งเป็นกรอบวงโค้งประดับด้วยปูนปั้นบนผนังทางฝั่งขวา  มีภาพที่ดูคล้ายกับบุคคลหนึ่งกำลังจูงมืออีกบุคคลหนึ่ง  ชาวบ้านจึงเรียกขานกันว่า “ถ้ำยายจูงหลาน” ตามอาการที่เห็น

ประติมากรรมปูนปั้นภาพพระโพธิสัตว์และทวยเทพที่มาสักการะ
เด่นสง่าอยู่บนผนังในบริเวณปากถ้ำยายจูงหลาน  

.           ทว่าเมื่อนักโบราณคดีเข้าไปสำรวจและศึกษาก็พบว่า แท้จริงแล้วภาพปูนปั้นนั้นเป็นประติมากรรมสมัยทวารวดี อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓  ภาพบุคคล ๓ คนที่ปรากฏ ทางซ้ายมือคือพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ ประทับยืนในท่าเอียงสะโพกหย่อนขาข้างหนึ่ง (ตริภังค์)อยู่ภายในประภามณฑลที่มีเปลวรัศมีล้อมรอบ พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นในปางประทานพร พระหัตถ์ขวาทรงถือไม้เท้าหัววงแหวนหรือ “ขักขระ” แนบพระอุระ รอบพระเศียรปรากฏขมวดพระเกศาและพระเกตุมาลาอันเป็นพุทธลักษณะ  จีวรที่ห่มคลุมทาด้วยสีแดงเลือดหมู

            พระโพธิสัตว์กษีติครรภะเป็นที่นิยมนับถือมากในจีนและธิเบต  ตามคัมภีร์ว่าทรงมีวรรณะกายสีเขียวหรือขาว นับเป็นหนึ่งในแปดของกลุ่มพระอัษฎามหาโพธิสัตว์ของพุทธศาสนามหายานในนิกายวัชรยานตันตระ มีหน้าที่หลักคือโปรดสรรพสัตว์ในนรกภูมิ โดยปกติจะทรงถือไข่มุกเรืองแสงที่ใช้ขจัดความมืดของนรกในพระหัตถ์ซ้าย และถือไม้เท้าขักขระ ซึ่งใช้สั่นให้เกิดเสียงดังเพื่อเปิดประตูนรกในพระหัตถ์ขวา 

 ภาพพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ เมื่อพิจารณาใกล้ ๆ
จะเห็นว่าในพระหัตถ์ขวาทรงถือไม้เท้าขักขระ และในพระหัตถ์ซ้ายทรงถือไข่มุกเรืองแสง

ส่วนภาพบุคคลสองคนทางฝั่งขวา คือภาพที่คนเห็นว่าเป็น “ยายจูงหลาน” เหลืออยู่เพียงบางส่วนไม่ครบทั้งตัวแล้ว  โดยเฉพาะทางซ้ายเหลือเพียงศีรษะและแขนซ้าย ในขณะที่ทางขวาเหลือตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงเข่า มือข้างขวามองดูเหมือนกับจับแขนซ้ายของอีกคนเอาไว้คล้ายจูง ทั้งสองมีศิราภรณ์ (เครื่องประดับศีรษะ) และการแต่งกายคล้าย ๆ กับว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์เช่นกัน

พินิจจากศิราภรณ์และลักษณะการแต่งกาย
เห็นได้ชัดว่าภาพนี้คือพระโพธิสัตว์อีกสองพระองค์ ซึ่งชาวบ้านมองเห็นเป็นภาพยายจูงหลาน
 

 เหนือขึ้นไปด้านบนตรงกลาง ยังปรากฏร่องรอยภาพบุคคลอีกคนในลักษณะกำลังเหาะมาในอากาศ  ปรากฏในข้อมูลที่บันทึกไว้ว่าแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างอลังการ แต่ปัจจุบันกะเทาะไปมองแทบไม่เห็นแล้ว คงมีเพียงประภามณฑลและเปลวรัศมีที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น คาดว่าเป็นภาพของเทพที่เหาะมาสักการะพระโพธิสัตว์ เช่นเดียวกับด้านบนของปากถ้ำถัดออกมาอีกชั้นที่มีภาพเทวดาเหาะพนมมือเหนือศีรษะในลักษณะแสดงความเคารพเช่นกัน

ถือเป็นประติมากรรมปูนปั้นสมัยทวารวดีที่งดงามและมีความน่าสนใจบนเส้นทางล่องลงสู่ภาคใต้ แถมอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางสายหลัก หากผ่านทางไปควรหาโอกาสแวะเวียนเข้าไปชมเป็นบุญตาสักครั้ง

 ทางเข้าสู่ถ้ำยายจูงหลานอันเป็นถ้ำบนภูเขาเล็ก ๆ
 
คู่มือนักเดินทาง จากตัวเมืองเพชรบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข ๔ (ถนนเพชรเกษม)  ออกจากเมืองเพชร ฯ ไปประมาณ ๑๕ กิโลเมตร  เลี้ยวขวากลับรถตรงบริเวณป่าต้นยาง แล้วชิดซ้ายเข้าเลนใน ตรงมาตามทางประมาณ ๒ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าไปตามทางสู่สำนักสงฆ์เขาน้อยเลาะตามคันคลองห้วยอ่างหิน จะมีป้ายบอกทางไปจนถึงสำนักสงฆ์ ถ้ำจะอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ ทางซ้ายมือที่ล้อมรอบด้วยป่าต้นยาง


สุวรรณจังโกฏิเจดีย์ จากหริภุญไชยสู่ล้านนา

 สุวรรณจังโกฏิเจดีย์ ก่อด้วยศิลาแลงทั้งองค์อย่างแน่นหนา
ประดับประดาด้วยปูนปั้นอันงาม เด่นสง่าผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานหลายศตวรรษ
  ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน
 

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ ...ชวนแวะและชวนชม
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. มกราคม ๒๕๕๙ 
           
            ในบรรดาเจดีย์ที่ปรากฏอยู่อย่างมากมายบนแผ่นดินล้านนา “เจดีย์เหลี่ยม” ถือว่าเป็นหนึ่งในเจดีย์ที่งดงามอลังการและมีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างชัดเจนแบบหนึ่ง

ต้นแบบแรกเริ่มนั้นมีที่มาจาก สุวรรณจังโกฏิเจดีย์ ถือเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยมของอาณาจักรหริภุญไชย ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาก่อนอาณาจักรล้านนา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘  บริเวณจังหวัดลำพูนปัจจุบัน



 พระพุทธรูปปูนปั้นบนโกลนศิลาแลงอันมีลักษณะเฉพาะแบบหริภุญไชย
ประดิษฐานภายในซุ้มจระนำบนเรือนธาตุที่ลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ
  ของสุวรรณจังโกฏิเจดีย์

สุวรรณจังโกฏิเจดีย์ปัจจุบันยังคงยืนหยัดท้าทายกาลเวลาอยู่ภายในวัดจามเทวี อำเภอเมืองฯ จังหวัดลำพูน  รูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นผังสี่เหลี่ยม ก่อด้วยศิลาแลง ส่วนฐานทำเป็นหน้ากระดานสามชั้น ซ้อนด้วยเรือนธาตุลดหลั่นกันขึ้นไปอีกห้าชั้น แต่ละชั้นทำเป็นซุ้มจระนำด้านละสามซุ้ม ลักษณะเป็นซุ้มโค้งแบบสองหยัก ประดับด้วยกระหนกปูนปั้นลายผักกูด ปลายซุ้มทำเป็นตัวเหงา รูปแบบสมัยทวารวดีตอนปลาย

ภายในซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปโกลนด้วยศิลาแลงปั้นปูนหุ้มทับแบบนูนสูง ปางประทานอภัย พุทธศิลป์แบบหริภุญไชยที่ผสมผสานกันระหว่างทวารวดีกับอู่ทอง ข้างละ ๓ องค์ รวมชั้นละ ๑๒ องค์  ทั้งหมด ๕ ชั้น รวมทั้งสิ้น ๖๐ องค์ มีความหมายถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าที่มีมากมายจนประมาณมิได้

บริเวณมุมทั้งสี่ของแต่ละชั้นประดับด้วยเจดีย์จำลองขนาดเล็กที่เรียกว่า “สถูปิกะ”  รูปแบบของเจดีย์คล้ายคลึงกับสัตตมหาปราสาทเมืองโบลนนาลุวะ ในประเทศศรีลังกา ส่วนยอดบนสุดเดิมเป็นยอดทองคำได้หักหายไป จึงมีอีกชื่อที่เรียกขานกันว่า “เจดีย์กู่กุด” 

 กู่คำหลวง ที่วัดเจดีย์เหลี่ยม ที่พญามังรายโปรดให้สร้างขึ้น
ตามแบบของสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ ในเวียงกุมกาม นครหลวงแห่งแรกของล้านนา

ด้วยความงดงามอันโดดเด่นนี้ ภายหลังเมื่อพญามังรายได้ผนวกเอาดินแดนหริภุญไชยเข้าอยู่ในอาณาจักรล้านนา จึงได้รับเอาอิทธิพลของสถาปัตยกรรมเจดีย์เหลี่ยมของหริภุญไชยนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของล้านนาด้วย โดยนำแบบไปสร้างขึ้นครั้งแรกที่เวียงกุมกาม นครหลวงแห่งแรกของอาณาจักรล้านนา ปัจจุบันคือวัดเจดีย์เหลี่ยม หรือ “กู่คำหลวง” ในเวียงกุมกาม อำเภอเมือง ฯ  จังหวัดเชียงใหม่  และต่อมายังได้มีการสร้างในเมืองสำคัญในอาณาจักรล้านนาอีกหลายแห่ง เช่นที่วัดพญาวัด จังหวัดน่าน เป็นต้น  

 สุวรรณเจดีย์หรือปทุมวดีเจดีย์ ในวัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน
เจดีย์เหลี่ยมอีกองค์ที่มีประวัติว่าสร้างในสมัยอาณาจักรหริภุญไชย พร้อมกับองค์พระธาตุหริภุญไชย
 


เจดีย์วัดพญาวัด  อำเภอเมือง ฯ จังหวัดน่าน 
เจดีย์เหลี่ยมอีกองค์ที่จำลองแบบจากสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ในสมัยล้านนา
 
วัดละโว้ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ มีเจดีย์เหลี่ยมขนาดย่อมสีทองอร่าม 
และตำนานเล่าขานเกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวี แห่งอาณาจักรหริภุญไชย