ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ ...ชวนแวะและชวนชม
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๕๙
คำว่า “ชิโน-โปรตุกีส” (Sino-Portugyese) มาจากคำว่า “ชิโน” หมายถึงจีน และคำว่า “โปรตุกีส” อันหมายถึง
โปรตุเกส ใช้เป็นชื่อเรียกรูปแบบสถาปัตยกรรมรูปแบบหนึ่ง
ที่ผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมโปรตุเกสและจีน เกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้น (ภายหลังต่อมานิยมเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่าสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมหรือโคโลเนียลเพื่อให้ครอบคลุมในด้านพัฒนาการมากขึ้น)
รูปแบบสถาปัตยกรรมชนิดนี้เกิดขึ้นในดินแดนแหลมมลายู
ในช่วงจักรวรรดินิยมตะวันตก เมื่อโปรตุเกสเข้ามายึดครองเมืองท่ามะละกาจากอาห์เหม็ด
ชาห์ สุลต่านองค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรมะละกาเป็นอาณานิคมได้เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๕๔ แล้วตั้งสถานีการค้าสร้างบ้านเรือนที่พักอาศัยขึ้น
ด้วยสถาปัตยกรรมตามแบบของโปรตุเกส โดยใช้แรงงานช่างชาวจีนในการก่อสร้าง
ด้วยเทคนิคการก่อสร้างแบบจีน ประกอบกับบริบททางวัฒนธรรมของช่างชาวจีน
ทำให้สถาปัตยกรรมมีรูปแบบตามคติความเชื่อของจีนเข้ามาผสมผสานกับรูปแบบสถาปัตยกรรมของโปรตุเกส
แม้ว่าในช่วงเวลาต่อมาฮอลันดาและอังกฤษจะเข้ามามีอิทธิพลในมะละกาแทนโปรตุเกส
และได้ผสมผสานรูปแบบสถาปัตยกรรมของฮอลันดาและอังกฤษเข้าไปในการปรับปรุงซ่อมแซมและก่อสร้างเพิ่มเติม
แต่อาคารเหล่านี้ยังคงถูกเรียกขานว่าสถาปัตยกรรม “ชิโน-โปรตุกีส”ต่อมา
รูปแบบสถาปัตยกรรมนี้ได้แพร่หลายจากมะละกาไปยังดินแดนต่าง
ๆ ในแหลมมลายู รวมถึงเมืองที่มีการติดต่อค้าขายกับมะละกา ได้แก่ มาเก๊า มาเลเซีย ปีนัง
สิงค์โปร์ รวมทั้งประเทศไทยของเรา ในช่วงรัชกาลที่
๕ ซึ่งเมืองภูเก็ต เมืองระนอง และเมืองตะกั่วป่าในจังหวัดพังงาเป็นเมืองที่รับเอาสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีสเข้ามา
ผ่านทางเมืองปีนังที่มีการติดต่อค้าขายกันใกล้ชิดในเวลานั้นอีกที
สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่ปรากฏในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น
๓ กลุ่มใหญ่ ๆ ตามลักษณะการใช้งาน กลุ่มแรกคืออาคารสาธารณะ ที่ใช้เป็นที่ทำการของหน่วยราชการ สมาคม โรงเรียน และบริษัทเอกชน
ส่วนใหญ่จะก่ออิฐถือปูนทั้งหลัง ตกแต่งด้วยลวดลายจากสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิคและลวดลายในยุคต่อมา
กลุ่มที่สองคือตึกแถว หรือ “เตียมฉู่” มีลักษณะอาคารหลังคาทรงสูง
มุงด้วยกระเบื้องดินเผาที่มีร่องมุมแหลมรูปตัววี ประตูหน้าต่างชั้นล่างประดับตกแต่งลวดลายแบบจีน
ในขณะที่ชั้นบนเป็นหน้าต่าง บานขนาดใหญ่ ๒ หรือ ๓ ช่องยาวจดพื้น มีทั้งเป็นบานเกล็ดไม้ปรับได้
และบานเกล็ดกระทุ้ง บนกรอบหน้าต่างประดับด้วยลวดลายปูนปั้นหลายรูปแบบ ทั้งโค้งครึ่งวงกลม
โค้งเสี้ยว บางแห่งเป็นกรอบสี่เหลี่ยม
ลวดลายที่พบมีทั้งที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมยุโรป ตั้งแต่ยุคคลาสสิค มาจนถึงยุคอาร์ตเดโค
ยังมีลายแบบจีน อินเดีย รวมทั้งลายไทยด้วย
ลักษณะพิเศษที่เด่นชัดอีกประการ คือมีช่องทางเดินเชื่อมต่อกันด้านหน้าของตึก
ที่เรียกว่า “อาเขต” หรือในภาษาจีนว่า “หง่อคาขี่” หมายถึงทางเดินกว้าง
๕ ฟุตจีน มีหลังคาสำหรับป้องกันแดดและฝน อาคารแบบตึกแถวนี้มีอยู่มากที่สุด
กลุ่มที่สามคือคฤหาสน์ ที่ในภาษาจีนฮกเกี้ยนและแต้จิ๋วเรียกว่า “อั้งม้อเหลา” คือ ตึกฝรั่ง (อั้งม้อ
แปลว่าผมแดง หมายถึงฝรั่ง ส่วนเหลาหรือหลาว แปลว่า ตึก) ส่วนใหญ่สร้างขึ้นในช่วงปลายรัชกาลที่
๕ ถึงรัชกาลที่ ๗ คฤหาสน์เหล่านี้มีลักษณะเป็นตึก
๒ ชั้นขนาดใหญ่ ตัวผนังก่ออิฐฉาบปูนแข็ง
ประดับลวดลายปูนปั้นและตกแต่งคล้ายคลึงกับตึกแถว ผสมผสานกันหลากหลายรูปแบบ
สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าเหล่านี้ปัจจุบันยังคงปรากฏอยู่ในย่านตัวเมืองของภูเก็ต
เมืองระนอง และ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา โดยที่เมืองภูเก็ตมีจำนวนค่อนข้างมาก
ทั้งยังคงอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์และสวยงามมากที่สุด
No comments:
Post a Comment